Author Topic: “นิกกี้” ไม่แคร์คนมองติดยาจนเพี้ยน ลั่นไม่ได้ขอใครแดก ยินดีแก้ผ้าต่อดีกว่าไปตุ๋ยตูดอาเส  (Read 970 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“นิกกี้” โผล่แก้ตัว กรณีไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อุเทนถวาย บอก เครียดแค่อยากไปไหว้พระ ก็เลยเดินจากบ้านแถวรัชดาแวะไหว้พระไปเรื่อย โต้ข่าวติดยา แต่ที่ชอบทำตัวเพี้ยนเพราะเป็นโรคไบโพล่าร์ทำให้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ลั่น ถึงทำตัวแบบนี้ก็ไม่ได้ไปเปิดนมให้ใครดู หรือขายตัวตุ๋ยตูดอาเสี่ย ยกตัวเองเป็นคนจริง ภูมิใจถึงไม่มีใครจ้างก็ผลิตงานนู้ดของตัวเองเพราะไม่ได้ขอใครแดก
       
       หลังจากที่ “นิกกี้ สุระ ธีระกล” ไปสร้างวีรกรรมที่อุเทนถวาย ด้วยการชูมือขึ้นทั้งสองข้าง แล้วกระทืบเท้า 3 ครั้ง ต่อหน้าองค์พระพุทธอุเทนถวายนิรันตรายจัตุรทิศ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดานักศึกษาของสถาบันให้ความเคารพบูชา ก่อนส่งเสียงดังตะโกนโวยวาย แถมยังถ่มน้ำลายลงบนพื้นอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอนายแบบหนุ่มยังเดินต่อไปทำกิริยาแบบเดียวกันต่อหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย พอมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ก็ด่าทอกลับประมาณว่า “พวกมึงไม่มีอะไรทำเหรอ กูไม่ใช่โจรจะมาจับกูทำไม” ก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นแท็กซี่หนีไป ท่ามกลางความมึนงงของเจ้าหน้าที่และนักศึกษาผู้พบเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับนายแบบนู้ดชื่อดัง เมาหรือเพี้ยนกันแน่
       
       ซึ่งล่าสุดหนุ่ม “นิกกี้” ได้ปรากฏตัวมาร่วมงานเปิดร้านทำผม DONG Paris ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าตัวเลยเผยว่าไม่ได้มีความตั้งใจไปลบหลู่ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะความเครียดเลยต้องการจะไปไหว้พระเท่านั้น
       
       “จริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิดกันนะครับ ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วผมไปไหว้พระ จริงๆ คือวันนั้นช่วงก่อนปีใหม่ผมบอกตรงๆ ว่าผมเครียดเรื่องส่วนตัว และจริงๆ แล้วผมเป็นคริสด้วยเป็นพุทธด้วย แล้ววันนั้นผมก็อยากจะหาทางออกด้วยการไปไหว้พระ ผมพักอยู่แถวรัชดาฯ ผมก็เลยเดินไปโดยที่ไม่ใช้รถ คือผมเป็นคนที่แปลกๆ หน่อยนะอย่างที่รู้กันตั้งนานแล้ว ผมจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ ผมก็เลยจะเริ่มจากการเดินให้สบายใจ เดินไปเรื่อยๆ ผ่านดินแดงไปโบสถ์แม่พระ ผมก็แวะเข้าไปไหว้พระที่นั่นแล้วก็ไปทำบุญ พอเสร็จผมก็ไปไหว้อีกหลายจุด”
       
       “จนไปๆ มาๆ ผมเดินไปถึงจุดที่ตรงอุเทนถวาย แล้วข้างหน้าทางโรงเรียนจะมีพระพุทธรูป ผมก็เลยเข้าไปไหว้พระ แต่ว่าตอนที่ผมเดินออกมาก็อยู่หน้าโรงเรียนพอดี พอเดินออกมาปุ๊บผมก็ตะโกนเพราะว่าตอนนั้นผมก็เหมือนกับอารมณ์คนเซ็งน่ะ ผมก็เลยตะโกน โอ๊ย.....ขึ้นมาเสียงดัง พอผมร้องอย่างนี้พวกรปภ.ก็บอกมาลบลู่อะไร ผมก็อะไรวะ ซึ่งผมเดินออกมานอกโรงเรียนแล้ว ผมไม่ได้ลบหลู่ เสร็จปุ๊บผมก็เดินไปต่อที่จุฬาฯ ผมก็เริ่มเหนื่อยจากการเดินแล้วล่ะ แล้วผมก็เดินเข้าไปไหว้เสด็จพ่อร.5 สักพักก็มีตำรวจมาแต่ไม่แน่ใจว่ากี่คน แล้วก็ถามผมว่ามาทำอะไร ผมก็บอกว่าผมมานั่งเฉยๆ ผมมาไหว้พระ”
       
       “แต่ผมยอมรับว่าผมพูดจาไม่ค่อยดี เพราะว่าสไตล์ผมอาจจะดูแรงๆ บวกกับผมกำลังหงุดหงิดด้วย คือผมก็เป็นมนุษย์คนนึงก็ต้องเข้าใจนะ จะให้มาครับๆ เหมือนพระเอกช่องอื่นตลอดผมก็ไม่ไหว ผมก็เหนื่อยก็เลยบอกเฮ้ยอะไรวะ ตำรวจก็จะเข้ามาจับผม ผมก็เลยบอกเฮ้ยพี่เอาเวลาไปจับโจรดีกว่า อย่าเอาเวลามาจับผมเลยผมมาไหว้พระ เขาก็บอกจะเอาผมไปตรวจฉี่ ผมก็เลยบอกนี่กูไม่ได้ขับรถมานะ นี่กูเดินมาจะตรวจฉี่ข้อหาอะไรวะเนี่ย ข้อหาเดินมาแล้วเมาเหรอ คือผมก็ไม่เก็ตไง สักพักนึงผมก็ไม่รู้ว่านักข่าวมาจากไหน แล้วก็เห็นผมเหมือนโพสต์ท่าสูบบุหรี่เลย แต่ภาพก็ยังออกมาดูดีเลยรู้สึกดีหน่อย สักพักผมก็ไม่ไหวเลยนั่งแท็กซี่กลับ แล้วผมก็ไม่เห็นข่าวอะไรเลยว่าขึ้นหน้าหนึ่งอะไรอย่างนั้น คือผมเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรพวกนี้อยู่แล้ว”
       
       บอก เป็นคนเพ้อมาแต่ไหนแต่ไรเพราะตนเป็นศิลปิน แต่บอกถ้าตนผิดจริงก็พร้อมจะขอโทษทางสถาบัน ซึ่งก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
       
       “ผมแค่ร้องตะโกน แต่ผมไม่ได้ลบหลู่ ถามว่าเพ้อไหม ผมเพ้อมาแต่ไหนแล้วไรแล้ว คือผมเป็นศิลปินทำงานผมก็เพ้ออยู่แล้ว ถ้าผมจะเลือกสายอาชีพแบบไม่เพ้อผมก็ไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า ผมเป็นคนช่างคิดช่างฝัน ผมขายงานผมขายจินตนาการ ถ้าไม่เพ้อผมคงไม่ใส่กางเกงในถ่ายรูปหรอก คืออยากจะให้แยกแยะให้ถูกว่าคนเรามันมีหลายโหมด มันไม่ใช่ว่าใส่สูทผูกไทด์เป็นคนดี ใส่รองเท้าแตะกางเกงยีนส์เป็นคนไม่ดี ผมมันคนละโหมดกัน ผมมันฟิวส์ตลาดล่างอยู่แล้ว อยากจะให้เข้าใจนิดนึง”
       
       “แค่ผมทำอาชีพเป็นนักแสดง แต่ไม่ใช่ว่าผมต้องอยู่ในกรอบของคำว่านักแสดง ต้องพูดยังไงให้นักข่าวแฮปปี้ พอคนจะโทรมาถามผม ผมก็ไม่อยากรับ เพราะผมรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร ผมอยากพักผ่อนมากกว่า คือมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา อย่างวันนี้ผมก็เริ่มกลับมาทำงานแล้ว จริงๆ ผมก็หยุดรับงานไป ผมก็เลยอยากจะฝากบอกผ่านสื่อทุกคน ผ่านคนที่เขาเข้าใจผิดว่า นิกกี้ดูแรง ดูเกเร ผมขอโทษ ผมว่าบางทีใจผมยังมีพระมากกว่าหลายๆ คนที่พูดกันเยอะๆ อีก”
       
       “ถามว่าผมอยากจะขอโทษทางสถาบันไหม ผมก็อยากจะขอโทษนะ แต่ผมไม่รู้จะขอโทษอะไรเพราะผมไม่ได้ทำอะไร ถ้าผมไปลบหลู่จริงๆ ผมก็จะขอโทษ ถ้าเขาคิดว่าผมลบหลู่ผมก็ขอโทษ แต่ใจผมก็บอกแล้วไงผมไม่โกหกผมไม่ได้ไปลบหลู่ แต่ผมไปไหว้พระ แรกๆ ผมกะจะมาบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันครับ ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น แล้วผมก็เดินสวัสดีพี่ๆ แล้วก็ออกไป แต่สุดท้ายความเป็นผมมันก็ไม่ได้ ผมก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น”
       
       “วันนั้นตำรวจก็ไม่ได้จับอะไรนี่ครับ ผมไม่ได้มีคดีความอะไรทั้งนั้น คือผมเป็นห่วงสังคมมากกว่าที่บางทีอ่านอะไรแล้วก็มองอะไรก็ขอให้มองให้ชัดก่อนที่จะตัดสินคน บางทีมันกระทบกระเทือนจิตใจแม้กระทั่งครอบครัวของผมหรือว่าตัวผมเอง โดยที่ผมมีความประสงค์ดี มีเจตนารมณ์ที่ดี แล้วพอเป็นข่าวปุ๊บผมก็รู้สึกว่าทำไมคนต้องมาพูดแทนผม พอผมไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ก็ไปตามแฟนเก่าผม คนนั้นคนนี้ออกมาพูดแทน นิกไม่ได้กินยา นิกไม่ปกติอะไรอย่างนี้ ผมไม่ได้เจอเขา 3-4 ปีแล้ว ไม่รู้สิ บางคนอาจจะอยากออกทีวี แต่สำหรับผมคือมาถามผมก่อนดีไหม”
       
       ไม่กลัวคนมองติดยา เพราะยาที่กินเป็นยาที่ควบคุมโรคไบโพล่าร์ ซึ่งเป็นอาการอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และตนเป็นมาตั้งแต่เกิด
       
       “กลัวคนจะมองว่าผมติดยาเหรอ ไม่กลัวครับ เพราะผมเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว สไตล์ผมเพี้ยนๆ อยู่แล้ว ถ้าผมบอกไม่ใช้ยา เขาก็ต้องบอกว่าผมใช้ยา จริงๆ แล้วผมไม่อยากบอกด้วยซ้ำไป มันมีบางอย่างที่ผมไม่อยากจะพูดเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว คือตั้งแต่กำเนิดมาผมเป็นไบโพล่าร์ คือไบโพล่าร์เป็นโรคชนิดนึงที่ไม่ใช่เป็นบ้าหรือโรคจิต แต่ไบโพล่าร์เป็นโรคชนิดนึงที่เขาเรียกว่ามีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งยาที่พูดก็คือตัวนั้น ไม่ใช่ว่าเลิกยาอะไร แต่วันนี้พอมาถามอย่างนี้ผมก็ต้องบอก พอเวลาผมเครียดมากๆ อารมณ์ผมจะขึ้นลงมาก ถ้าสมมติว่าใครไม่รู้จักไบโพล่าร์ก็ไปเปิดอินเตอร์เน็ตดูแล้วกัน เหมือนที่พวกบริทนี่ สเปียร์เป็นกันน่ะ มันเป็นโรคแต่กำเนิด เหมือนคนที่มีสมาธิสั้นๆ หรือว่าอารมณ์แปรปรวนง่าย”
       
       “แต่ถามว่าผมแคร์ใครไหมที่เป็นข่าวแบบนี้ ผมไม่ได้แคร์ใครเลย ทุกวันนี้ผมก็ไม่เชิญนักข่าวมา นักข่าวมาหาผมเอง ถ้าผมแคร์ผมก็ขอแถลงข่าวไปตั้งนานแล้ว ผมยังเดินอยู่บนถนนธรรมดา แล้วก็ไม่รู้ว่าเด็กอุเทนฯ เมื่อไหร่จะมาดักตีกบาลผมทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย คือผมอยากจะบอกทุกคนว่าผมโตแล้ว ปีนี้ผม 32 แล้ว ผมไม่ได้มาทำตัวแบดบอย ผมไม่ได้มาทำตัวพรีเซ็นต์ว่าซ่า เพราะว่าทำอย่างนี้ไปมันไม่ได้ช่วยให้งานเยอะขึ้น ที่ผมทำอย่างนี้เพราะนี่คือนิสัยของผมส่วนตัว แล้วผมก็จะไม่เปลี่ยนให้ใคร”
       
       “แต่ผมเป็นคนมีมารยาทเวลาผมเจอผู้ใหญ่ผมก็จะสวัสดี ผมก็เข้าสังคมได้ แต่ผมไม่ได้มาทำตัวเพื่อพรีเซ็นต์ว่านี่เท่ คือทำมามันไม่ได้มีผลบวกอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะให้พี่ๆ นักข่าวหรือทุกคนเข้าใจว่าบางคนอาจจะไม่ชอบผม คำพูดผมที่ดูไม่ไพเราะ แต่เอาจริงๆ เหอะว่าผมเคยทำอะไรที่แบบผมไม่เปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียเหมือนดาราคนอื่นที่มันเปลี่ยนกันทุกวัน ผมไม่ได้มีข่าวว่าใส่นมห้อยอะไรกันทุกวัน คือข่าวที่มีจริงๆ คือข่าวที่มันเกิดกับสังคมจริงๆ ผมไม่เคยเรียกนักข่าวมาแล้วสร้างข่าวให้มันเป็นข่าว แต่ผมกลับดูเป็นคนไม่ดี แต่พวกที่คนดูดีๆ เหลือเกินแ_ ่งเดี๋ยวมีนู่นมีนี่ จะพูดอะไรก็ต้องคิด แต่ผมเป็นคนพูดแล้วไม่คิด ผมเป็นมนุษย์คนนึงเหมือนนักสื่อสารทุกๆ คน ทำมาหากินไปวันๆ”
       
       “แต่ผลกระทบกับงานมันก็มีตลอดเวลาแหละครับ เพราะงานผมทุกวันนี้ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนสนับสนุนผมอยู่แล้ว งานของผม ผมก็ทำของผมเอง เดี๋ยวถ่ายโป๊เดี๋ยวเล่นวีซีดีโป๊ เดี๋ยวผลิตโน่นผลิตนี่เอง แล้วผมก็ภูมิใจด้วยเพราะว่าผมไม่ได้ขอใครแดกครับ คือผมทำเอง ผมไม่ต้องไปไหว้ผู้ใหญ่คนไหน หรือไปเป็นเด็กเสี่ยคนไหนหรือไปตุ๋ยตูดใคร ผมไม่ต้องครับ สไตล์ผมทำเองอยู่แล้ว”
       
       “คือเวลาผมตก ผมไม่มีสตางค์ ผมก็ไปขายของที่เมเจอร์รัชโยธิน ขายเสื้อผ้าขายอะไรไป คือผมของจริงครับ ผมเป็นดาราที่ไม่ได้อยากเป็นดาราแต่เ_ ือกต้องมาเป็นดาราเอง คือมีงานผมก็ทำ ถ้ามีใครจ้างผมก็ทำ ไม่มีใครอยากเล่นหนังโป๊หรอก ผมก็อยากจะมาสไตล์พระเอกหล่อๆ บ้าง แต่ถ้าหล่อแล้วต้องไปกับอาเสี่ยโน่นเสี่ยนี่ก็ไม่ใช่ผม ผมผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ”




ขณะเกิดเหตุที่จุฬาฯ

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)