(http://uppic.nickcs.com/upload/big/2015/02/12/54dc4c8653341.jpeg) (http://board.nickcs.com/go.php?http://uppic.nickcs.com/img-54dc4c8653722.html)
จีนเตรียมขึ้นแท่นมหาอำนาจด้านหุ่นยนต์ในภาคการผลิต โดยคาดว่าในปี ค.ศ. 2017 จีนจะมีการใช้งานหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยโดย The International Federation of Robotics (IFR) ที่ระบุว่า ปัจจุบัน จีนมีการใช้งานหุ่นยนต์ในอัตราส่วน 30 ตัวต่อแรงงาน 10,000 คน ซึ่งยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ (437 ตัว) ญี่ปุ่น (323 ตัว) เยอรมนี (282 ตัว) และสหรัฐอเมริกา (152 ตัว) แต่การที่มีบริษัทผลิตรถยนต์จำนวนมากมาตั้งโรงงานผลิตในจีนอันเนื่องมาจากค่าแรงที่ถูกมากจะทำให้การใช้งานหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรมของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 428,000 ตัวภายในปี ค.ศ. 2017
"บริษัทที่มาลงทุนจะถูกกดดันให้ใช้แรงงานหุ่นยนต์มากขึ้น เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพและคุณภาพ" Gudrun Litzenberger เลขาธิการของ IFR กล่าว
"ปัจจุบัน การใช้งานหุ่นยนต์ยังอยู่ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก แต่ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า การใช้หุ่นยนต์จะขยายไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
ส่วนผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของตลาดหุ่นยนต์ในจีนก็ไม่ใช่ใคร ประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นนั่นเอง โดยญี่ปุ่นได้ส่วนแบ่งจากตลาดนี้ค่อนข้างสูง ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่รองลงมาคือ บริษัทสัญชาติจีนเองอีกราว 25 เปอร์เซ็นต์ของตลาด และส่วนที่เหลือก็คือหุ่นยนต์จากสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ต่างชาติมาตั้งฐานการผลิตในจีนอยู่ 4 แห่งได้แก่ ABB จากสวิสเซอร์แลนด์ Kuka จากเยอรมนี Yaskawa และ Fanuc จากญี่ปุ่น และคาดว่าจะมีอีกหลายบริษัทตามมาในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ โรงงาน Foxconn อันอื้อฉาวจากกรณีการใช้แรงงานคนจีนผลิตไอโฟนและไอแพดจนมีผู้ล้มป่วยจากการสัมผัสสารพิษเองก็มีการพัฒนาหุ่นยนต์ Foxbot ขึ้นมาแล้วด้วยเช่นกัน โดยทางโรงงานมีทั้งหุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นใช้เอง ควบคู่กับการซื้อหุ่นจากซัพพลายเออร์รายอื่นมาด้วย
ที่มา: manager.co.th