(http://uppic.nickcs.com/upload/big/2015/01/09/54af709d625d1.jpeg) (http://board.nickcs.com/go.php?http://uppic.nickcs.com/img-54af709d629a3.html)
(http://uppic.nickcs.com/upload/big/2015/01/09/54af70bdc137f.png) (http://board.nickcs.com/go.php?http://uppic.nickcs.com/img-54af70bdc1766.html)
แม้จะถูกพะยี่ห้อว่าเป็นหนังที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและเป็นชนวนที่ทำให้ค่ายหนังต้นสังกัดอย่าง โซนี่ พิคเจอร์ส ต้องถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แถมยังโยงไปสู่เรื่องของการเมืองระหว่างประเทศด้วย สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Interview แต่ไม่แน่ว่าบทสรุปของปัญหาเรื่องนี้ อาจจบลงตรงที่มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความสำคัญที่สุดในรอบปี
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เริ่มต้นขึ้นเมื่อโซนี่ฯ ตัดสินใจที่จะยุติการฉายภาพยนตร์ The Interview รอบปฐมทัศน์เนื่องจากการเกรงคำข่มขู่จากกลุ่มแฮ็คเกอร์ แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดก่อนหน้าวันคริสต์มาส โซนี่ก็เปลี่ยนใจจัดฉายภาพยนตร์ผ่านทางโรงภาพยนตร์อิสระและแบบออนไลน์แทน และนั่นก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถูกเช่าและซื้อไปมากกว่า 4.3 ล้านครั้งในทันที และโกยรายได้ 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในสี่วันแรกของการเปิดฉาย และในอีกแปดวันถัดมา ก็ทำรายรับได้เพิ่มอีก 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมแล้วมีรายรับกว่า 31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งก็แน่นอนว่า ส่งผลให้มันขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ออนไลน์เบอร์หนึ่งของค่ายไปทันที นอกจากนี้ The Interview ยังได้ทำรายได้เกือบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้แก่โรงภาพยนตร์อิสระที่ยอมเสี่ยงชีวิตด้วย
และถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำรายรับได้เป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับสถานะ แต่กระนั้น มันก็ยังคงไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้จากต้นทุนการสร้างที่ 44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญที่สุดก็คือ เสมือนการเป็นบันไดขั้นแรกของสตูดิโอค่ายหนังอื่นๆ ในการจัดฉายภาพยนตร์แบบออนไลน์ในอนาคต
ที่มา TechSpot
ที่มา: pantip.com