(http://uppic.nickcs.com/upload/small/2014/01/23/52e0bf0714060.jpeg) (http://board.nickcs.com/go.php?http://uppic.nickcs.com/img-52e0bf0714447.html)
(http://uppic.nickcs.com/upload/small/2014/01/23/52e0bf19239d9.jpeg) (http://board.nickcs.com/go.php?http://uppic.nickcs.com/img-52e0bf1923dc5.html)
ศาลไต้หวันสั่ง”หลิวเต๋อหัว”นักแสดงหนุ่มชื่อดังให้จ่ายเงินเป็นจำนวนกว่า 2.9 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายหลังเฮลิคอปเตอร์ Daily Air พังขณะกำลังถ่ายหนัง
คดียาวนานของหลิวเต๋อหัว สมัยถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Island of Greed เมื่อปี 1997 ได้ลากยาวมาถึงตอนนี้ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อหลิวเต๋อหัวได้เตะเหวี่ยงไปโดนคันบังคับในห้องนักบินขณะกำลังแสดงฉากพยายามหลบหนีออกจากเฮลิคอปเตอร์ ส่งผลให้เครื่องสั่นและใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ไปโดนเข้ากับวัตถุบางอย่างได้รับความเสียหาย
ซึ่งทางหลิวเต๋อหัวยืนยันว่าเป็นความผิดของนักบินที่ต้องทำหน้าที่ควบคุมเครื่องให้ได้ ขณะที่ทางฝ่ายนักบินเองได้ชี้แจงว่าเขาได้เตือนหลิวเต๋อหัวแล้วว่าอย่าโดนคันบังคับ แต่เขาก็ยังพลาดไปโดน ซึ่งศาลเล็งเห็นว่าทางผู้กำกับเป็นฝ่ายขอให้นักบินผู้ควบคุมเฮลิคอปเตอร์ไม่ปรากฏตัวอยู่ในฉากดังกล่าว ทางฝั่งหลิวเต๋อหัวจึงไม่สามารถโทษว่าเป็นความผิดของนักบินได้เมื่อเขาไม่สามารถนั่งอยู่ในที่นั่งนักบินเพื่อทำหน้าที่ของตนเองได้ ในครั้งนั้นศาลจึงได้ตัดสินว่าเป็นความผิดพลาดของหลิวเต๋อหัวที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุและความเสียหายขึ้น
โดยในปี 2008 ศาลแขวงได้ออกคำสั่งให้หลิวเต๋อหัวชดใช้เป็นเงิน 5.5 ล้านบาท ก่อนที่จะเพิ่มเป็นเงินถึง 7.26 ล้านบาทเมื่อศาลสูงเป็นผู้ตัดสิน
หลังจากขึ้นศาลไต่สวนไปถึง 4 รอบ คณะลูกขุนก็ได้มีมติสุดท้ายร่วมกันถือเป็นที่สิ้นสุดว่าให้ หลิวเต๋อหัว ชดใช้ด้วยเงินเป็นจำนวน 2.9 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทางเอเจนซีของหลิวเต๋อหัวในไต้หวันรู้สึกผิดหวังต่อคำตัดสินของคณะผู้พิพากษา โดยกล่าวว่า “ผิดหวังและยอมรับคำตัดสินของศาลครั้งนี้ไม่ได้ เฮลิคอปเตอร์และนักบินถูกจัดหามาโดยสายการบินเอง ซึ่งจริงๆแล้วบริษัทภาพยนตร์ควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ มันไม่ถูกต้องที่หลิวเต๋อหัวต้องเป็นผู้ชดใช้ เราจะไม่ร้องขอเงินสักแดงเดียวจากเขา เขาเป็นแค่นักแสดงที่ทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น”
ทางด้านบริษัทผลิตภาพยนตร์ก็ยืนยันว่าหลิวเต๋อหัวไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยก้อนนี้ทั้งที่ไม่เต็มใจด้วยเช่นกัน
ส่วนทางด้าน Daily Air ได้เผยถึงประเด็นนี้ว่า “จริงๆแล้ว เราเป็นฝ่ายแพ้คดีนะ เคสนี้ถูกลากยาวมานานนับสิบปี ศาลได้ระบุว่าเราต้องรับผิดชอบถึง 60 % พวกเขารับผิดชอบที่เหลืออีก 40% เราทำอะไรไม่ได้ เราแค่จะจบเคสนี้แล้ว”
ที่มา: manager.co.th