(http://upic.me/i/iy/5560000113477011.jpeg) (http://board.nickcs.com/go.php?http://upic.me/show/46775920)
(http://upic.me/i/4k/5560000113477021.jpeg) (http://board.nickcs.com/go.php?http://upic.me/show/46775921)
หลังใช้ชีวิตคู่กันมา 13 ปีเต็ม เป็นสามีภรรยาที่ดังที่สุดคู่หนึ่งในฮอลลีวูด ล่าสุดมีรายงานยืนยันจากสำนักข่าวต่างประเทศว่า "ไมเคิล ดักลาส" และ "แคทเธอรีน ซีตา-โจนส์" ได้ตัดสินใจแยกกันอยู่แล้ว
ชีวิตสมรสของคู่หวานต่างวัย ไมเคิล ดักลาส และ แคทเธอรีน ซีตา-โจนส์ เริ่มส่อเค้าถึงปัญหาให้เห็น หลังแทบไม่มีภาพคู่ของทั้งสองปรากฏออกมาในสื่อเลยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนั้นทั้งคู่ยังเลือกที่จะออกงานเดินพรมแดงแบบฉายเดี่ยวในระยะหลัง และล่าสุดยังใช้เวลาในวันว่างแบบตัวใครตัวมัน มีเพียงลูก ๆ ที่อยู่เคียงข้าง ทั้งฝ่ายชายที่เพิ่งไปพักผ่อนบนเรือยอช์ตที่ซาร์ดิเนีย ส่วนฝ่ายหญิงก็อยู่บ้านที่นิวยอร์ก
ซึ่งล่าสุดนิตยสาร PEOPLE ได้อ้างแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ ที่สามารถยืนยันได้ว่าสองนักแสดงดังได้แยกกันอยู่แล้ว โดยตัวแทนของฝ่ายหญิงก็ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง ที่ทั้งสองได้ขอเวลาเพื่อใช้ทบทวน และคลี่คลายปัญหาในชีวิตสมรสที่เกิดขึ้น
แต่ถึงวินาทีนี้สื่อหลายฉบับได้ฟันธงว่าทั้งคู่ได้แยกทางกันเป็นที่เรียบร้อย แม้จะยังไม่มีการดำเนินการเพื่อหย่าร้าง หรือเพื่อแยกทางกันทางกฎหมายแต่อย่างใดก็ตาม
ดักลาส กับซีตา-โจนส์ มีอายุห่างกัน 25 ปี และต่างเกิดวันที่ 25 ก.ย. เหมือนกัน โดยทั้งสองแต่งงานกันในพิธีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ในโรงแรมพลาซ่าที่แมนฮัตตันเมื่อปี 2000 แต่ตลอดการครองคู่ 13 ปีเต็มก็เคยต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาพอสมควร ทั้งการต่อสู้กับโรคมะเร็งของฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายหญิงก็เปิดเผยว่าเธอต้องเผชิญกับอาการของโรคอารมณ์แปรปรวนอยู่หลายปี ซึ่งเพื่อนสนิทคนหนึ่งของครับครัวเปิดเผยว่า ความเครียดจากปัญหาสุขภาพคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ชีวิตคู่ต้องถึงจุดสิ้นสุด
โดยทั้งคู่ที่มีลูกด้วยกัน 2 คน เพิ่งจะตัดสินใจแยกกันอยู่ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา เมื่อ ไมเคิล ดักลาส เดินทางกลับมาจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ส่วน แคทเธอรีน ซีตา-โจนส์ ก็เพิ่งเข้ารับการบำบัดเพื่อดูแลอาการอารมณ์แปรปรวนเป็นครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับครอบครัว ยังหวังว่าทั้งสองจะสามารถเอาชนะปัญหาเพื่อกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งได้ "พวกเขาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก ไม่ว่าจะอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม"
ที่มา: manager.co.th