(http://www.posttoday.com/medias/20090205/10194.jpg)
เอกชนทั่วโลกตั้งแต่เอเชียถึงยุโรปยังขาดทุนระนาว จำใจลอยแพพนักงานไม่หยุด พานาโซนิคปิดโรงงาน 27 แห่งรวดทั่วโลกลอยแพแรงงาน 1.5 หมื่นคน
วิกฤตเศรษฐกิจโลกยังส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุด พานาโซนิค บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของญี่ปุ่นประกาศปลดพนักงานทั่วโลกถึง 1.5 หมื่นตำแหน่ง พร้อมปิดโรงงานอีกถึง 27 แห่งก่อนสิ้นเดือนมี.ค. นี้ และคาดว่าอาจต้องปิดร้านภายใต้แบรนด์พานาโซนิคอีกถึง 20% จากจำนวนทั้งหมด 239 แห่งทั่วโลก หลังจากที่ทางบริษัทคาดการณ์ว่าอาจต้องขาดทุนทะลุ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.4 แสนล้านบาท) ในปีงบประมาณนี้ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. นี้
มาโกโตะ อุเอยามา หนึ่งในผู้บริหารของพานาโซนิค เปิดเผยว่า ครึ่งหนึ่งของตำแหน่งงานที่จะปรับออกจะอยู่ในญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ โดยพนักงานที่เข้าข่ายปรับออกมีทั้งพนักงานชั่วคราวและพนักงานประจำ คาดว่ากระบวนการปลดพนักงานครั้งนี้จะสิ้นสุดลงตามเป้าภายในเดือนมี.ค. ปี 2553
การปลดพนักงานครั้งมโหฬารของพานาโซนิคนับเป็นรายล่าสุดในวงการธุรกิจญี่ปุ่น ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว เอ็นอีซี บริษัทชั้นนำด้าน ไอทีของญี่ปุ่น และฮิตาชิ ประกาศปลดพนักงานรวมกันถึง 2.7 หมื่นตำแหน่ง ขณะที่ โซนี่ มีแผนการที่จะปลดพนักงานมากถึง 1.6 หมื่นตำแหน่ง
ด้านภาวะว่างงานในยุโรปยิ่งทวีความรุนแรง ล่าสุดตัวเลขว่างงานในสหภาพยุโรป (อียู) ช่วงเดือนม.ค. พุ่งขึ้นมาถึง 1.98 แสนคน นับเป็นตัวเลขรายเดือนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ตัวเลขตกงานรวมในกลุ่มอียูสูงกว่า 3.33 ล้านคน
ขณะที่สหรัฐหลายบริษัทยังปลดพนักงานรวมกันอีกกว่า 8,000 ตำแหน่ง โดยธนาคารท้องถิ่น “พีเอ็นซี” ได้ลดพนักงานลง 5,800 ตำแหน่ง นอกจากนี้รวมถึงธนาคารฮันทิงตัน ห้างลิซ แคลร์บอร์น และบริษัท คิง ฟามาร์ซูติคัล
ผลประกอบการของภาคธุรกิจทั่วโลกยิ่งทรุดหนัก คาดว่า ชาร์ป จะขาดทุน 111 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3,700 ล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว จากที่เคยทำกำไรเมื่อปีก่อนหน้า บีเอชพี บิลลิตัน บริษัททำเหมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกรายงานผลประกอบการช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว ซึ่งลดลง ฮวบฮาบถึง 56.5% เหลือเพียง 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.8 หมื่นล้านบาท)
อัลคาเทล-ลูเซนต์ บริษัทร่วมทุนฝรั่งเศส-สหรัฐ ขาดทุนเมื่อปีที่แล้วถึง 48.5% ที่ 5,200 ล้านยูโร (ราว 2.2 แสนล้านบาท) รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่เพียง 1,200 ล้านยูโร (ราว 54 หมื่นล้านบาท)
ที่มา: http://www.posttoday.com