(http://www.pantip.com/tech/newscols/news/image/google-tv-icon.jpg)
กูเกิลได้เปิดตัวรุ่นตัวอย่างของเครื่องมือปลั๊กอินการเขียนโปรแกรมแอนดรอยด์ เพื่อช่วยเหล่านักพัฒนาให้สามารถเขียนซอฟท์แวร์ขึ้นมาใช้งานสำหรับอุปกรณ์ Google TV ได้แล้ว
โดย Ambarish Kenghe ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ Google TV กล่าวว่า "กับซอฟท์แวร์อัพเดต Honeycomb ที่กำลังมา อุปกรณ์ Google TV จะสามารถใช้งานร่วมกันกับแอนดรอยด์ได้ นั่นหมายความถึง นักพัฒนาแอนดรอยด์จะสามารถสร้างครีเอทแอปฯแอนดรอยด์ใหม่เพื่อให้ใช้งานได้บนทีวี เพิ่มประสิทธิภาพแอปฯที่มีการใช้งานจำกัดอยู่เฉพาะในมือถือหรือแท๊บเล็ตให้สามารถใช้งานบนทีวี และกระจายแอปพลิเคชั่นผ่านทาง Android Market ได้" โดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเช่น กูเกิล, ยาฮู!, อินเทล และแอปเปิ้ล มีความพยายามมาเป็นปีเพื่อที่จะจับทีวีเข้ากับการใช้งานอินเทอร์เน็ต, จัดหาประสบการณ์การโต้ตอบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมานำเสนอ และโอกาสในการหาช่องทางในการทำเงินใหม่ อย่างเช่น การโฆษณา เป็นต้น แต่มันก็ไม่ง่าย เมื่อลูกค้ามักจะชอบประสบการณ์ที่มากกว่าการอยู่เฉย โดยบริษัทได้สร้างและกระจายเนื้อหา แต่ก็มักถูกการปฏิเสธจากเหล่าพันธมิตร ซึ่งแอนดรอยด์เองมีการเติบโตขนาดใหญ่จากแอปฯที่สามารถใช้งานได้ผ่านทาง Android Market มันคงจะง่ายถ้าหากโปรแกรมเมอร์สามารถสร้างแอปฯที่ใช้งานได้ทั้งโทรฯมือถือ, แท๊บเล็ต และทีวี โดยการปรับแอปฯมือถือให้สามารถใช้ได้บนแท๊บเล็ตนั้น ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญที่สุดสำหรับโค้ดแอนดรอยด์ เพราะเนื่องจากแท๊บเล็ตมีการทำงานแบบทัชสกรีนและแป้นพิมพ์เสมือน ซึ่งใกล้เคียงกับโทรฯมือถือมากกว่าทีวีที่ไม่ใช่โทรศัพท์ ซึ่งขาดทั้งหน้าจอสัมผัสและแป้นพิมพ์ อีกทั้งยังมีหน้าจอที่ใหญ่กว่า โดย Kenghe กล่าว ปลั๊กอินสำหรับชุด Android SDK นี้ จะช่วยให้ความสะดวกสำหรับโปรแกรมเมอร์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบและกรณีการใช้ แอปฯแอนดรอยด์จะสามารถทำงานได้ดีกับ Google TV หรือต้องการการแก้ไข ใน add-on นักพัฒนาจะสามารถทดสอบแอปฯของคุณได้เพื่อตรวจสอบว่าจะทำงานได้ดีกับทีวีหรือไม่ โดย Kenghe ไม่ได้ตั้งความหวังสูงไว้กับการมาของแอปฯทีวี เพียงแต่คาดการณ์ว่า น่าจะมีจำนวนแอปพลิเคชั่นสำหรับทีวีในขั้นแรกออกมาเล็กน้อย โดยในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดที่ปลั๊กอิน SDK จะออกในรูปแบบของเวอร์ชั่นเต็ม หรือผลิตภัณฑ์ Google TV จะมากับ Honeycomb ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นพิเศษสำหรับแท๊บเล็ตของแอนดรอยด์
Source : CNET
ที่มา: pantip.com