Nick Computer Services

Job & Healthy & Poem & Share Clip => Healthy Tips => Topic started by: Nick on July 21, 2011, 01:38:38 PM

Title: รวมรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคเอดส์ (FACTS)
Post by: Nick on July 21, 2011, 01:38:38 PM
1. ถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่โดยไม่ป้องกัน มีโอกาสเสี่ยงหรือไม่
     มีโอกาสเสี่ยงมากเพราะ

     หนึ่ง เชื้อเอชไอวีอยู่ในน้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอด ซึ่งมีปริมาณและคุณภาพดีมาก

     สอง การมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่มีการส่งและรับน้ำอสุจิ น้ำในช่องคอลดโดยตรง
        ในขณะที่เชื้ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมาก (ไม่สัมผัสอากาศ หรือไม่ได้ออกมานอกร่างกาย)

     สาม มีช่องทางเข้าของเชื้อคือ ผ่านทางเยื่อบุผนังช่องคลอด เยื่อบุช่องทวาร
         หรือเยื่อบุอ่อนปลายอวัยวะเพศชาย (หรือปลายท่ออสุจิ)

2. ถ้ามือมีแผล และสัมผัสโดนเลือด หรือน้ำอสุจิ หรือน้ำในช่องคลอด เสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีหรือไม่
     โอกาสเสี่ยงมีน้อยมาก จนไม่มีเลย เพราะ

     หนึ่ง แม้ว่าคุณภาพของเชื้อจะดีคืออยู่ในน้ำอสุจิหรือน้ำในช่องคลอด หรือเลือด
        แต่ปริมาณของเชื้อที่เราสัมผัสนั้นจะไม่เท่ากับการสัมผัสโดยการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่

     สอง ช่องทางเข้าของเชื้อ ต้องดูว่าแผลที่เราเป็นนั้นเป็นแผลแบบไหน ถ้าเป็นแผลที่เป็นมามากกว่าหนึ่งวัน      แสดงว่าแผลนั้นเริ่มมีการเยียวยาตัวเองปากแผลเริ่มปิดแล้ว
     (ปกติร่างกายจะสร้างเยื่อบางๆมาปกคลุมแผลเมื่อได้รับบาดเจ็บเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าแผล)
     แบบนี้เชื้อเอชไอวีก็ไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายเราได้
     หรือต้องบอกว่าแผลที่จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีได้ต้องเป็นแผลเปิดกว้าง มีเลือดออก
     และต้องเอาแผลนั้นไปสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อเอชไอวีในปริมารมากๆ ซึ่งในกรณีนี้เป็นไปได้ยากมาก

3. โอกาสเสี่ยงของการติดเชื้อ จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยอะไรบ้าง
     ถ้าเราจะเสี่ยงต้องมี 3 องค์ประกอบครบถ้วนคือ
     a. ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี เข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด
     ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ  น้ำในช่องคลอด

     b. เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้วเชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง
     เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด มีสภาพที่พอเหมาะที่จะทำให้ เชื้อเติบโตได้แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา
     เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้ ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้
     หมดความสามารถที่จะทำให้ติดต่อได้

     c. ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัส ส่งต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน
        หรือการร่วมเพศ ซึ่งเป็นการส่งต่อเชื้อกันโดยตรงเช่นในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่
     เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกาย
     ทางเยื่อบุที่ปลายและเยื่อบุในท่อปัสสาวะของ องคชาติ คนส่วนใหญ่จะกังวลกับการติดเชื้อเอชไอวี
     จากช่องทางที่ไมมีหรือมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากๆ และมักจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
     เช่นการช่วยคนประสบอุบัติเหตุ การสัมผัสกับเลือดตามแต่จะสมมติกัน
     แต่มักจะไม่คิดถึงช่องทางที่ทำให้ติดเอดส์จากวิถีชีวิตและพฤติกรรมทางเพศที่กระทำอยู่เป็นประจำ
     ทั้งที่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
     ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้ป้องกัน

4. หากป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยแต่ถุงยางเกิดรั่ว หรือแตกระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์
จะมีโอกาสเสี่ยงหรือไม่

     โอกาสการรั่วของถุงยางอนามัยในปัจจุบันแทบจะไม่มีเลย
     เนื่องจากถุงยางอนามัยถือว่าเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ต้องผ่านการรับรองคุณภาพ
     จากองค์การอาหารและยา (อย.) และต้องผ่านมาตรฐานอุตสากรรม (มอก.) ก่อนออกจำหน่าย

     หากพบว่าในรอบการผลิตนั้นๆมีถุงยางที่ชำรุดหรือไม่ได้คุณภาพ
        จะทำการทิ้งถุงยางที่ผลิตในล๊อตนั้นหมดเพื่อประกันคุณภาพการผลิต

     กรณีรั่วซึม หรือเสื่อมคุณภาพของถุงยางอนามัย จะเกิดได้หลายแบบ
        เช่น ทิ้งไว้นานจนหมดอายุ เก็บไว้ในร้อนมาๆ หรือโดนแดดเป็นต้น

     ถ้าถุงยางอนามัยรั่วจริงก็มีโอกาสเสี่ยง อย่างไรก็ตามเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยนั้น
        จะต้องพิจารณาจากปัจจัยเสริมอีกมากเช่น รั่วขนาดไหน เพื่อที่จะให้โอกาสเชื้อได้เข้าสู่เยื่อบุของอวัยวะเพศ
     หญิง หรือชาย ซึ่งจะมีความแตกต่างกันอีกมาก สิ่งที่น่าจะตอบก็คือ ต้องประเมินเองว่า
     โอกาสที่จะสัมผัสกับน้ำคัดหลั่งของคู่นอนในการมีเพศสัมพันธ์์มากน้อยแค่ไหนอย่างไร

     ที่สำคัญยังไม่เคยมีการพบว่าเกิดการติดเชื้อจากถุงยางอนามัยรั่วมาก่อน

5. ทำออรัลให้กับอวัยวะเพศชายแล้วมีการหลั่งในปากอย่างเดียว โดยไม่มีการร่วมรักทางอื่น
หากอวัยวะเพศชายนั้นมีเชื้อเอชไอวี คนที่ใช้ปากทำให้จะ มีความเสี่ยงในการรับเชื้อหรือไม่่

     ออรัล หมายถึงการใช้ปากกับอวัยวะเพศ การใช้ปากกับอวัยวะเพศชายที่มีเชื้อเอดส์
     มีรายงานการแพทย์แล้วว่าติดได้ แต่การใช้ปากกับอวัยวะเพศหญิง ที่มีเชื้อเอดส์ยังไม่มีรายงานว่ามีคนติดเชื้อ
     แต่อย่าเพิ่งตกใจเพราะการที่จะติดเชื้อจากการใช้ปากให้อวัยวะเพศชายนั้นต้องมีปัจจัยประกอบดังนี้

     สำหรับอวัยวะเพศชาย ฝ่ายใช้ปากมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าฝ่ายถูกอม
        ถ้ามีการหลั่งอสุจิและกลืนลงไปในปากร่วมด้วย

     ในสหรัฐอเมริกามีงานวิจัยได้รายงานการติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือออรัลเซ็กส์ในฝ่ายผู้ที่      ใช้ปากดูดในชายรักร่วมเพศ ที่ติดเชื้อ HIV จำนวน 102 ราย (อายุเฉลี่ย 34 ปี , คนผิวขาว 75 %) พบว่า

     19 รายที่ติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
     3 รายใน 19 รายไม่สามารถจัดแบ่งประเภทได้เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ
     8 รายใน 19 รายจัดแบ่งใหม่เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อ HIV จากความเสี่ยงอื่น นอกจากออรัลเซ็กส์
     ที่เหลือ 8 รายคิดเป็น 7.8 % ใน 102 ราย
     2 รายใน 8 ราย มีประวัติเพศสัมพันธ์ออรัลเซ็กส์อย่างเดียว
     4 รายใน 8 รายมีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักร่วมด้วยแต่ใช้ถุงยางอนามัย
     2 รายใน 8 รายมีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักร่วมด้วยโดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
     แต่มีคู่นอนเพียงคนเดียว และตรวจสอบแล้วผลเลือด HIV เป็นลบ

6. ทำออรัลให้กับฝ่ายหญิง โดยไม่มีการร่วมรักทางอื่น หากฝ่ายหญิงมีเชื้อเอชไอวี ฝ่ายที่ใช้ปากทำให้จะมีความเสี่ยงในการรับเชื้อหรือไม่
     ในทางทฤษฎีมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากจนแทบไม่มีเลย
     และน่าจะบอกได่ว่าจากข้อมูลยังไม่พบรายงานการติดเชื้อด้วยวิธีนี้เลย   

7. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยและหลั่งภายนอก จะมีโอกาสเสี่ยงจากติดเชื้อหรือไม่
     โอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีไม่ว่ากรณีมีเพศสัมพันธ์ชายกับชายหรือกับหญิงถ้าไม่มีการป้องกันโดย
     ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย ก็จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
     แต่ก็อาจจะมีแตกต่างกันไป เช่นถ้ามีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ฝ่ายเจ้าของช่องคลอดมีเชื้อ
     เจ้าของอวัยวะเพศชายไม่มีเชื้อ หลั่งข้างในหรือข้างนอกก็เสี่ยงเหมือนกันเพราะได้มีการสัมผัสเชื้อ
     จากสารคัดหลั่งในช่องคลอดแล้วแต่ถ้าเจ้าของช่อคลอดไม่มีเชื้อเจ้าของอวัยวะเพศชายมีเชื้อแต่หลั่งข้างนอก
     แน่นอนว่าความเสี่ยงก็จะลดลงกว่ามีการหลั่งข้างใน แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีความปลอดภัย
     เนื่องจากในระหว่างสอดใส่อาจมีน้ำอสุจิบางส่วนที่ออกมาก่อน เมื่อถึงจุดสุดยอด และที่สำคัญเจ้าของทวาร
     หรือช่องคลอดจะไม่มีทางรู้หรือกำหนดได้ว่าคู่นอนของเราจะหลั่งข้างนอกหรือข้างใน
     ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่คู่นอนเป็นผู้ควบคุมไม่ใช่การร่วมกันควบคุม



8. การเล้าโลมภายนอก โดยไม่มีการสอดใส่ จะมีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อหรือไม่
     ไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากการที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้นั้นจะต้องมีปัจจัย 3 ประการครบถ้วนคือ
     1. ต้องมีการสัมผัสเชื้อจากสารคัดหลั่งที่มีปริมาณมากพอ
     2. เชื้อที่สัมผัสต้องมีคุณภาพ
     3. เชื้อต้องเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

     ซึ่งการเล้าโลมภายนอกนั้นเชื้อจะไม่ได้เข้าสู่ร่างกายโดยตรงเพียงแค่สัมผัสภายนอกเท่านั้น

9. การจูบกันทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่
     หากนำปัจจัย 3 ข้อ (ตามข้อ 1) มาตอบสามารถฟันธงได้เลยว่า
     จูบกันไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีแน่นอนเนื่องจาก

     การจูบกันเราสัมผัสโดนน้ำลายของกันและกัน ในน้ำลายเชื้อเอชไอวีในปริมาณที่น้อยมาก
        ไม่สามารถทำให้ติดต่อได้ ยิ่งพบว่าในน้ำลายมีสภาพเป็นกรดยิ่งทำให้เชื้อเอชไอวีด้อยคุณภาพลงไปอีก
     ว่ากันว่าถ้าจะทำให้เกิดการติดเชื้อทางน้ำลายต้องใช้น้ำลายถึง 8 ปี๊บทีเดียว
     และคงไม่มีใครจูบกันยาวนายจนได้น้ำลายมากขนาดนั้น

     ส่วนที่กังวลว่าถ้าปากมีแผลจะเสี่ยงไหม ต้องบอกว่าแผลในปากที่เป็นกันทั่วไป
        ไม่สามารถเป็นช่องทางรับเชื้อเอชไอวีที่มีอยู่น้อยนิดในน้ำลายได้

     กรณีเดียวที่การจูบอาจทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อได้ก็คือ ต่างคนต่างมีเลือดสดๆออกมาจากแผลที่เปิดกว้าง
        เช่นกัดกัน หรือกระแทกปากกันแรงๆจนเลือดไหล แล้วแลกจูบกัน ซึ่งกรณีแบบนี้ก็ไม่มีใครทำกัน

10. ถ้าจูบปาก ขณะมีแผลในปากล่ะ จะเสี่ยงไหม้
     ไม่มีโอกาสเสี่ยง เพราะ

     หนึ่ง ในน้ำลายแม้ว่าจะมีเชื้อเอชไอวี แต่ก็มีเชื้อในปริมาณที่น้อยมาก
         (มีการเปรียบเทียบกันว่าถ้าจะติดเชื้อทางน้ำลายต้องใช้น้ำลายมากกว่า 8 ปี๊บ)
     ดังนั้นเชื้อเอชไอวีในน้ำลายไม่สามารถทำให้ติดต่อได้

     สอง เมื่อเชื้อเอชไอวีมีน้อยมากในน้ำลาย คุณภาพของเชื้อก็น้อยตามไปด้วย
        และยิ่งในน้ำลาซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ก็ยิ่งไปทำให้เชื้ออ่อนแอมากยิ่งขึ้น

     สาม ปากที่มีแผลร้อนใน ไม่สามารถเป็นช่องทางให้เชื้อเล็ดรอดเข้าไปได้
        เนื่องจากแผลในปากเป็นแผลที่เล็ก ไม่เปิดกว้าง การที่เชื้อจะเล็ดรอดเข้าไปจึงเป็นไปไม่ได้
     และยิ่งน้ำลายที่มีเชื้อน้อยมากอยู่แล้ว การจูบปากแบบทั่วไปไม่ได้ทำให้ติดเชื้อได้เลย

     “ ที่สำคัญ คงไม่มีใครจูบปากกันไป กัดปาก กัดลิ้นกันไป จนเลือดกบปากกันทั้งคู่     
         ถ้าทำแบบนั้นก็อาจจะมีโอกาสเสี่ยงได้ แต่คนปกติทั่วไปคงไม่ทำแบบนั้นเป็นแน่ ”

11. เชื้อ HIV จะสามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายได้นานแค่ไหน
     บอกไม่ได้ ว่าเมื่อออกมานอกร่างกายแล้วจะอยู่ได้นานเท่าไร เพราะมีตั้งแต่ไม่ได้เลยจนระยะเวลาหนึ่ง
     ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่น ปริมาณของสารคัดหลั่งที่ออกมามีมากน้อยแค่ไหนเลือดหนึ่งหยด
     ก็มีปริมาณเชื้อและคุณภาพด้อยกว่า เลือดที่ออกมามากๆ หรือ สารคัดหลั่งที่ออกมาอยู่ในสภาพภายนอก
     แบบไหนมีความเป็นกรดเป็นด่างอย่างไร ร้อนแห้งหรือเย็น สภาพภายนอกที่ว่าคือที่ไหน
     เช่นบนพื้นห้องน้ำที่มีคราบน้ำยาทำความสะอาดต่างๆที่ทำลายเชื้อเอชไอวีได้
     หรือบนผ้าที่มีคุณสมบัติซึมซับได้เร็ว แห้งเร็วเชื้อก็ด้อยคุณภาพเร็ว เป็นต้น
     แต่ถ้าจะใช้วิธีสังเกตด้วยตาเปล่า ก็คือ เช่นถ้าเลือดแห้งหรือแข็งตัว HIV ก็ไม่มีคุณภาพแล้ว

12. การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันมีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีได้เปล่า
     จะแบบไหนก็แล้วแต่ในการร่วมเพศไม่ว่าจะชาย - ชาย หรือชาย - หญิง หรือหญิง-หญิง
     จะปลอดภัยหรือไม่ต้องดูว่าได้ป้องกันหรือไม่ถ้าป้องกันก็ปลอดภัย สำหรับเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันกรณี
     ชายกับชายมีโอกาสติดเชื้อได้เท่าๆกับการมีเพศสัมพันธ์ทั่วไปหรืออาจมากกว่า เนื่องจากการสอดใส่ทางทวาร
     จะทำให้เกิดบาดแผลได้ง่ายกว่าการร่วมเพศแบบปกติจึงมี โอกาสเสี่ยงสูงขึ้น
     ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ

13. อาการหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 อาทิตย์ ถ้ารู้สึกคันตามแขนและขา หรือมีตุ่มขึ้น หรือมีไข้ ปวดศีรษะอาการอย่างนี้ถือว่าเป็น อาการเริ่มแรกของคนเป็นโรคเอดส์หรือไม่
     อาการต่างๆ หลังจากมีเพศสัมพันธ์ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอาการเบื้องต้นในการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่่
     การรับเชื้อเอชไอวีเข้าไปในร่างกาย เชื้อเอชไอวีจะยังไม่สามารถไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย
     จนทำให้เราป่วยได้ในทันที โดยทั่วไปคนที่มีเชื้อเอชไอวีจะเริ่มมีอาการเจ็บป่วยเมื่อได้รับเชื้อผ่านไปแล้ว
     ประมาณ 6-10 ปี

     การที่จะรู้ว่าติดเชื้อหรือไม่นั้น เราไม่สามารถดูได้จากอาการป่วยภายนอก
        เนื่องจากอาการที่เกิดกับผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ก็สามารถเกิดกับคนที่ไม่มีเชื้อได้เช่นกัน

     เราจะรู้ได้ว่าเราติดเชื้อหรือไม่ ก็โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีเท่านั้น

14. ถ้าต้องไปตรวจเลือดควรจะไปตรวจที่ไหนดี ที่ให้ผลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ และสามารถเก็บความลับได้
     กรณีตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน คลินิค ก็เชื่อถือได้เท่าๆกัน
     เพราะใช้เกณฑ์ มาตรฐานเดียวกัน ส่วนระยะเวลาที่รอผลนั้นอาจจะไม่เท่ากัน
     ขึ้นกับทางสถานพยาบาลและวิธีการที่ใช้ในการตรวจ ส่วนเรื่องการเก็บเป็นความลับโดยระบบและกฎหมาย
     รวมทั้งจรรยาบรรณแล้ว ต้องเป็นความลับถ้าจะรั่วไหลเป็นเรื่องความบกพร่องหรือไม่รับผิดชอบของตัวบุคคล

     ปัจจุบันหากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวี
        สามารถไปขอรับบริการตรวจเลือดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
     โดยใช้สิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
        และประกันสังคมโดยใช้สิทธิตามโรงพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนไว้

     รายชื่อสถานที่ให้บริการตรวจเลือดและให้การปรึกษา

     กรุงเทพฯ

     คลีนิคนิรนาม โทร. 02 256-4108, 02 256-4109
     เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00 – 19.00 น.และวันเสาร์ เวลา 09.00312.00 น.
     โรงพยาบาลบางรัก กองกามโรค ถนนสาธรใต้ โทร. 2860431, 2860108, 2866382 โทรสาร 2873553
     โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่ง

     ต่างจังหวัด
     ศูนย์กามโรคและโรคเอดส์
     งานควบคุมโรคเอดส์และกามโรคจังหวัด
     โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง
     โรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง

15. ระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะสามารถไปตรวจเลือดแล้วสามารถเชื่อผลจากการตรวจได้แน่นอน
     โดยทั่วไปการเลือดเพื่อดูว่าติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่นั้น จะเป็นการตรวจแบบหาแอนตี้บอดี้
     คือการตรวจหาร่องรอยของไวรัส ที่เกิดจากภูมฺคุ้มกันในร่างกายเราสร้างสารแอนตี้บอดี้ออกมา
     เพื่อต่อสู้กับเชื้อเอชไอวี ซึ่งกว่าร่างกายจะสร้างสารออกมาโดยทั่วไปเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 1-3 เดือน
     ซึ่งส่วนใหญ่การตรวจเลือดแบบนี้จะตรวจได้ หลังจากวันที่เราไปเสี่ยงมานับย้อนไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน
     ซึ่งผลที่ได้สามารถเชื่อถือได้ ไม่จำเป็นต้องไปตรวจซ้ำอีกเมื่อถึง 6 เดือน แต่ต้องแน่ใจว่าในระยะ 3 เดือนนั้น
     ไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆอีกเลย

16. หากติดเชื้อแล้วควรมีวิธีในการดูแลตัวเองต่อไปอย่างไร
     โดยข้อเท็จจริง ณ ปัจจุบันนี้ที่โลกเราได้เรียนรู้และรู้จักเอดส์มาร่วม ๒๐ ปีแล้วนั้น
     เอดส์คือความเจ็บป่วยที่รักษาได้และมียาต้านไวรัสเอชไอไวที่สามารถควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวี
     ไม่ให้ทำลายภูมิต้านทานได้ ถ้าสามารถควบคุมภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายได้ เราก็จะไม่เจ็บป่วย
     ดังนั้นเอดส์จึงเป็นเพียงโรคเรื้อรังเช่นเดียวกับ เบาหวาน ซึ่งเราสามารถรักษาและดูแล
     รวมถึงป้องกันไม่ให้ป่วยได้ โดยเราสามารถเรียนรู้เข้าใจเพื่อที่จะได้มีส่วนร่วมในการดูแล รักษา ป้องกัน      ทั้งในส่วนที่สามารถดูแลด้วยตนเองได้ และการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาร่วมกับแพทย์ผู้ทำการรักษา

17. หากแม่ติดเชื้อลูกในครรภ์จะมีโอกาสติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน
และจะสามารถป้องกันการติดเชื้อของลูกในครรภ์อย่างไร
     ตามสถิติและการวิจัยพบว่าการติดเชื้อของลูกในครรภ์มารดาที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่ในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์
     และจากการศึกษาโดยการจ่ายยาต้านไวรัสฯให้กับแม่ในช่วง 1 เดือนก่อนคลอดและระหว่างคลอด
     พบว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อของลูกลงเหลือเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

18. ผู้ติดเชื้อจะสามารถมีอายุอยู่ได้นานกี่ปี
     ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตได้ยืนยาวและมีความสุขได้เท่าๆกับคนทั่วไปที่ไม่ติดเชื้อ
     หากมีการดูแลตัวเองที่ดี รวมทั้งการได้รับบริการที่เหมาะสมกับสภาพปัญหา 
     เช่นเมื่อถึงเกณฑ์ที่ต้องได้รับยาต้านไวรัสก็ต้องได้รับ เป้นต้น

19. ไม่ว่าจะมีความกังวลแบบไหน โดยเฉพาะกรณีที่กังวลว่า ทำ “แบบไหน”
เสี่ยง หรือไม่เสี่ยงต่อการรับเชื้อ เราสามารถประเมินได้เอง โดยการนำปัจจัย 3 ประการตามข้อ 1
ที่เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้คนๆหนึ่งเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงต่อการับเชื้อผ่านพฤติกรรมต่างๆ

     โอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีไม่ว่ากรณีมีเพศสัมพันธ์ชายกับชายหรือกับหญิงถ้าไม่มีการป้องกันโดย
     ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย ก็จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
     แต่ก็อาจจะมีแตกต่างกันไป   เช่นถ้ามีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ฝ่ายเจ้าของช่องคลอดมีเชื้อ
     เจ้าของอวัยวะเพศชายไม่มีเชื้อ   หลั่งข้างในหรือข้างนอกก็เสี่ยงเหมือนกันเพราะได้มีการสัมผัสเชื้อ
     จากสารคัดหลั่งในช่องคลอดแล้วแต่ถ้าเจ้าของช่อคลอดไม่มีเชื้อเจ้าของอวัยวะเพศชายมีเชื้อแต่หลั่งข้างนอก
     แน่นอนว่าความเสี่ยงก็จะลดลงกว่ามีการหลั่งข้างใน แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีความปลอดภัย
     เนื่องจากในระหว่างสอดใส่อาจมีน้ำอสุจิบางส่วนที่ออกมาก่อน เมื่อถึงจุดสุดยอด และที่สำคัญเจ้าของทวาร
     หรือช่องคลอดจะไม่มีทางรู้หรือกำหนดได้ว่าคู่นอนของเราจะหลั่งข้างนอกหรือข้างใน
     ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่คู่นอนเป็นผู้ควบคุมไม่ใช่การร่วมกันควบคุม

ที่มา: aidsaccess.com