(http://www.pantip.com/tech/newscols/news/image/loss_white_flag.jpg)
หลังจากสร้างความปั่นป่วนมาพอสมควรกับการเข้าโจมตีเวบไซต์ชื่อดังหลายแห่ง อาทิ เวบไซต์ในเครือของโซนี่, ซีไอเอ, วุฒิสภาของสหรัฐฯ และเวบไซต์พันธมิตรในเครือของเอฟบีไอ ล่าสุดกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่เรียกตนเองว่า 'LulzSec' ได้ยอมปราชัย ประกาศ เตรียมออกจากการศึกความวุ่นวายดังกล่าวแล้ว
โดยกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งได้สร้างความปั่นป่วนให้กับเวบไซต์หลายต่อหลายแห่ง โดยอ้างเหตุทำไปเพราะต้องการเป็นตัวแทนเรียกร้องสิทธิ์จากการกระทำไม่ถูกต้อง ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยลิ้งค์ที่เชื่อมโยงไปยังเอกสารบนเวบไซต์ Pastebin ซึ่งได้ประกาศว่า การทำงานของกลุ่มเกี่ยวกับการก่อกวนในโลกไซเบอร์กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว โดยมีข้อความบางส่วนกล่าว "มันถึงเวลาแล้วที่จะกล่าว 'bon voyage' (เป็นคำในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง เดินทางอย่างปลอดภัย คล้ายกับการกล่าวอำลานั่นเอง)" และ "การเดินทางตามแผนของเรากว่า 50 วันได้ถึงจุดสุดท้ายแล้ว และตอนนี้เราต้องเดินทางออกโดยทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้ด้านหลัง เราหวัง แรงบันดาลใจ, ความกลัว, การปฏิเสธ, ความสุข, การอนุมัติ-ไม่อนุมัติ, การเยาะเย้ย, ความลำบากใจ, ความคิดริษยาเกลียดชัง หรือแม้กระทั่งความรัก ถ้ามีใครบังเกิดขึ้น เราหวังจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในคนบางกลุ่ม, บางสถานที่เท่านั้น" โดยกลุ่มยังได้เชื่อมโยงลิ้งค์ไปยังข้อมูลสุดท้ายที่ได้จากการขโมย ซึ่งตามรายงานใน International Business Times ระบุ เป็นข้อมูลที่ได้มาจากเวบไซต์ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ อาทิ AT&T และ AOL เป็นต้น โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อ @Complex ยังได้ทำการโพสต์ลิ้งค์ไปยังภาพสกรีนช็อทที่แสดงถึงข้อมูลที่ได้มาจากเวบคลังเก็บอาวุธทางการทหาร โดยโชว์ให้เห็นช่องโหว่ของเวบไซต์กองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่ง LulzSec ได้กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากการรั่วไหลของข้อมูลที่เรียกได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญจากหน่วยงานความปลอดภัยสาธารณะของแอริโซนาว่า จะมีการเพิ่มเติมรายละเอียดอีกในวันจันทร์ โดยข่าวการแยกวงของ 'LulzSec' เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่ Ryan Cleary วัย 19 ปี ได้ถูกจับกุมในสหราชอาณาจักรซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีการโจมตีโดยใช้วิธี DDoS โดยเขากล่าวอ้าง เป็นการกระทำโดยกลุ่ม ซึ่งข่าวดังกล่าวยังทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างกลุ่ม LulzSec และ TeaMp0isoN อีกด้วย
Source : CNET
ที่มา: pantip.com