(http://www.pantip.com/tech/newscols/news/image/amazon.jpg)
Peter Rojas ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Gizmodo และ Engadget โพสบทความชิ้นล่าสุดผ่านเว็บไซต์ Gdgt.com ระบุว่า เจ้าของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง อเมซอน กำลังเตรียมการจับมือร่วมกับบริษัทซัมซุงจากแดนโสม เพื่อสร้างแอนดรอยด์แท๊บเล็ต ที่มาพร้อมกับโอเอสแอนดรอยด์ 3.0 (Honeycomb) หรืออาจจะเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นเองแต่ก็ยังคงอยู่ภายใต้โอเอสแอนดรอยด์ และมันอาจจะถูกเปิดตัวปลายซัมเมอร์นี้
โดยในบทความดังกล่าว Peter ยังได้ระบุด้วยว่า แท้ที่จริงแล้ว คู่แข่งคนสำคัญของแอปเปิ้ลในตลาดแท๊บเล็ตไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอเมซอนนี่เอง และนี่คือส่วนหนึ่งของบทความดังกล่าว : "มีความลับบางอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยออกมาว่า อเมซอนกำลังเตรียมการผลิตแอนดรอยด์แท๊บเล็ตและผมก็มั่นใจถึง 99% ว่าซัมซุงจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญสำหรับการสร้างมันขึ้นมาด้วย ซึ่งถ้าถามว่าโลกจำเป็นที่จะต้องมีต้องมีแท๊บเล็ตตัวอื่นๆ อีกหรือไม่? ผมก็ขอตอบว่าไม่ แต่ผมคิดว่าการที่อเมซอนมีสินค้าและบริการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้น จะทำให้มันมีความแตกต่างจากแท๊บเล็ตตัวอื่นๆ ที่กำลังจ่อคิวตีตลาดในปีนี้ แต่อย่างไรก็ดี สามเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้อเมซอนหันมาลุยตลาดแท๊บเล็ตก็น่าจะเป็นดังนี้ คือ
หนึ่งเป็นเพราะว่า เจ้า Kindle ที่มันเป็นสินค้าที่ติดอันดับขายดีที่สุดของอเมซอน บวกกับบริษัทได้รับประสบการณ์จากมันค่อนข้างมาก จึงทำให้อเมซอนสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและชื่นชอบของผู้บริโภคได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของอุปกรณ์หรือใช้แอพพลิเคชั่นบนมือถือก็ตาม ถัดมาที่เหตุผลข้อที่สองคือในเรื่องความเสี่ยงในการค้าปลีก ซึ่งถึงแม้ว่า อเมซอนจะมีขนาดใหญ่มากก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของแอปเปิ้ลก็คือเรื่องของการที่มีร้านค้าจำหน่ายเป็นของตนเอง ขณะที่อเมซอนไม่ใช่เช่นนั้น แต่ด้วยประสบการณ์การขายสินค้าออนไลน์ที่ผ่านมาก็อาจจะทำให้มั่นใจได้ว่ามันจะสามารถจำหน่ายได้เป็นล้านๆ เครื่อง เฉกเช่นเดียวกับ Kindle ส่วนเหตุผลสุดท้ายคือเรื่องของการเปิดตัวของบริการต่างๆ ของอเมซอนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากมันจะเป็นบริการสำหรับ Kindle แล้ว มันยังมีบริการ Amazon Android App Store และ Cloud Drive ด้วยนั่นเอง" สำหรับเรื่องของราคาและช่วงเวลาที่จะวางจำหน่ายนั้นยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่มันคงจะน่าแปลกใจเป็นอย่างมากถ้า แท๊บเล็ตจากอเมซอนไม่ได้ถูกเปิดตัวภายในปีนี้ และมีราคามากกว่า 500 เหรียญสหรัฐฯ
Source : TechSpot
ที่มา: pantip.com