Author Topic: “พจน์” ขู่ฟ้องใครพาดพิง “ฟิล์ม” เป็นพ่อ “น้องทีฆายุ” ด้านผจก.งัดหลักฐานโชว์ “แอนนี่” ไม่โป  (Read 1457 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“พจน์” ขู่ฟ้องใครพาดพิง “ฟิล์ม” เป็นพ่อ “น้องทีฆายุ” ด้านผจก.งัดหลักฐานโชว์ “แอนนี่” ไม่โปร่งใสให้โอนเงินชื่ออื่น

      “พจน์” เอาจริง ประกาศฟ้องทุกคนที่พูดพาดพิง “ฟิล์ม” เป็นพ่อ “น้องทีฆายุ” จนกว่าจะมีการตรวจดีเอ็นเอ เผยหลังนักร้องหนุ่มหายป่วยจะควงทนายจัดแถลงข่าวยัน แล้วจะให้ไปบวช อ้อน “เฮียฮ้อ” ของานคืนให้ “ฟิล์ม” ด้านผู้จัดการส่วนตัวงัดหลักฐานโอนเงินให้ “แอนนี่” โชว์ แต่ไม่รู้ชื่อบัญชี “ฐิฏิพร” ที่ดาราสาวให้โอนเป็นชื่อใคร ส่วนพี่ชายนักร้องหนุ่มเผยมีคนบอกใบเกิดเด็กระบุชื่อ “ฟิล์ม” เป็นพ่อแต่ยังไม่มีหลักฐาน
       
       เพิ่งจะเป็นแบ็คหนุนหลังออกมาพูดปกป้องนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ไปหมาดๆ ล่าสุดผู้กำกับชื่อดัง “พจน์ อานนท์” ได้ควงพี่ชายของนักร้องหนุ่มอย่าง “แอร์ ภูริฑัต” และ “ปณต ชัยจินดา” ผู้จัดการส่วนตัวของ “ฟิล์ม” ไปร่วมบันทึกเทปรายการใหม่เอี่ยมแกะกล่องของช่องโมเดิร์นไนน์ “บอก 9 เล่า 10” ที่มี 2 เพื่อนซี้ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” และ “มดดำ คชาภา ตันเจริญ” เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
       
       ซึ่งงานนี้ผู้จัดการส่วนตัวของ “ฟิล์ม” ได้งัดหลักฐานเป็นเอสเอ็มเอสข้อความของ “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ที่ส่งชื่อบัญชีคนละชื่อกับตัวเอง มาให้ “ฟิล์ม” โอนเงิน พร้อมทั้งข้อความขอบคุณในการช่วยเหลือ และยังมีหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีทั้งหมด 2.5 แสนบาทมาโชว์ให้เห็นกันอย่างชัดเจน ด้าน “พจน์” ก็ประกาศลั่นกลางรายการว่า หลังจากวันนี้ไปใครพูดพาดพิง “ฟิล์ม” เป็นพ่อของ “น้องทีฆายุ” จะโดนฟ้องหมด
       
       โดยภายหลังบันทึกเทปรายการเสร็จ ทั้งหมดก็มานั่งแถลงข่าวเปิดใจกับสื่อมวลชนอีกครั้ง ซึ่ง “พจน์” ได้ออกตัวพูดก่อนว่า ที่ออกมาพูดวันนี้ไม่ได้ต้องการรังแกผู้หญิง แต่อยากให้สังคมได้รับรู้ความจริง ยันฟ้องทุกคนที่พูดพาดพิง “ฟิล์ม” พร้อมทั้งชื่นชมยกดาราเสื้อแดง “เมธี อมรวุฒิกุล” เป็นลูกผู้ชายตัวจริง
       
       “ที่ออกมาพูดวันนี้ไม่ใช่ว่ามารังแกผู้หญิง หรือว่ามาดูถูกเพศแม่ แต่ตอนนี้สังคมต้องการหาความจริงว่า อะไรคือความจริง อะไรคือโกหก เราก็ขอออกมาพูดให้รู้ว่าความจริงคืออะไร แล้วข้อสรุปจะเป็นยังไง แล้วพอดีมันมีตัวละครที่ผมพูดถึงอยู่บ่อยๆ คือคุณเมธี ตอนแรกก็ไม่กล้าเอ่ยชื่อเขา แต่ตอนนี้เขาออกมาพูดแล้ว เราก็อยากให้สังคมรับรู้ความจริงเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการมาบีบคั้นผู้หญิงหรืออะไรทั้งนั้น ก็บอกแล้วความเป็นจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เพราะฉะนั้นสังคมต้องเข้าใจพวกเราด้วย”
       
       “ผมปรึกษาทนายความมา ทนายความบอกว่าฟิล์มมีสิทธิ์ฟ้อง ถ้าใครพูดว่าเด็กคนนี้คือลูกฟิล์ม คือตอนนี้ฟิล์มไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฟิล์มสงสารผู้หญิง สิทธิ์ที่ฟิล์มเสียไปโดยที่โดนสังคมประณามว่า ฟิล์มเป็นคนผิดทั้งหมด ฟิล์มก็ไม่ได้ทำอะไรเลย จนมาถึงทุกวันนี้ทั้งครอบครัวมีปัญหาหมด ผมก็เลยคุยกับฟิล์มก่อนที่เขาจะกินยา ผมก็คุยเรื่องนี้เหมือนกันว่าจะฟ้องศาล แต่ฟ้องในลักษณะที่ว่าในเมื่อยังไม่มีการพิสูจน์ดีเอ็นเอว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของฟิล์ม รัฐภูมิ คุณทุกคนก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฟิล์ม ถ้าพูดปุ๊บเท่ากับเป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งฟิล์มก็มีสิทธิ์ใช้สิทธิ์นี้ในการฟ้องร้องได้ ไม่ว่าจะใคร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือองค์กรต่างๆ มาพูดว่า ฟิล์มไม่รับเลี้ยงเด็กคนนี้ หรือไม่รับเลี้ยงลูก แบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะเราจะฟ้องแล้วตอนนี้”
       
       “คือให้หยุดไปเลยจนกว่าเขาจะมาพิสูจน์ดีเอ็นเอว่า เด็กคนนี้เป็นลูกใครกันแน่ เพราะยิ่งพูดไปมันเสียกันหลายฝ่าย และความจริงก็ต้องปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องคายออกมา ผมก็อยากให้ผู้หญิงหรือใครออกมาพูดความจริงกันได้แล้ว เพราะมันเสียกันไปหมดแล้ว ซึ่งผมก็ขอขอบคุณลูกผู้ชายตัวจริง เมธี ที่กล้าออกมายอมรับความจริงว่า อะไรเป็นยังไง คือมันต้องมีการสืบ เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เมธีกล้าออกมายอมรับ แสดงว่าเป็นลูกผู้ชาย ผมขอบคุณเมธีมากที่ช่วยทำให้สังคมกระจ่างมากขึ้น เพราะผมคนเดียวก็เอาไม่อยู่ เอาไม่ไหวกลายเป็นโดนเกลียดไปด้วย”
       
       “ถึงเมธีจะเลิกกับผู้หญิงไปแล้ว แต่เขาเคยโดนในกรณีนี้เหมือนกัน ถึงแม้จะเลิกไป 10 แล้ว แต่ 3 ปีที่แล้วเขายังมาปรึกษาพี่อยู่เลยนะ ฝ่ายหญิงยังมาปรึกษาเด็กในกองถ่ายอยู่เลยว่า โดนเมธีตีทะเลาะกัน เขายังมาพูดในกองถ่าย แต๋วเตะตีนระเบิด เลย”
       
       แอร์ : “ถ้าเป็นกรณีเร็วๆ นี้คงไม่มีใครกล้าออกมาพูดหรอกครับ ขนาดคุณแม่พูดไปว่า น้องคนนี้ถ้าโตแล้วรับรู้ข่าว น้องจะรู้สึกยังไง คือผู้ใหญ่ที่ใส่ข้อมูลให้เด็กคนหนึ่ง ถ้าเขาโตมาแล้วมีเพื่อนมาถามว่า พ่อเป็นใคร แล้วน้องตอบว่าดูดีเอ็นเอบนหน้ากูสิ มันจบหรือเปล่าครับ มันไม่จบอยู่แล้ว ถ้าแอนนี่พูดย้ำอยู่เสมอว่านี่คือลูกฟิล์ม เขาก็คิดอยู่เสมอว่าคนนี้คือลูกฟิล์ม ถ้าแอนนี่รักลูกก็เอาผลที่ยืนยันต่อสังคมออกมา เพราะตอนนี้สังคมก็ไม่รู้แล้วว่า ใครคือพ่อของเด็ก”
       
       พจน์ : “แต่ถ้าเขายังยืนยันว่าไม่ตรวจดีเอ็นเอ เขาไม่มีสิทธิ์มาพูดว่าเป็นลูกฟิล์มอีกแล้วนะ นับตั้งแต่ตอนนี้เลย ถ้าฟิล์มฟื้นไข้จากโรงพยาบาล ผมจะเอาฟิล์ม ทนายความ กับตัวผมมาแถลงกันอีกที แล้วหลังจากนั้นผมจะให้ฟิล์มบวชแล้ว คือไม่ได้หนีนะครับ แต่ให้บวชไปเลย แล้วเลิกพูดกันได้แล้ว ผมอยากให้สังคมเงียบกันได้แล้ว แล้วความจริงมันจะคายออกมาทีละนิดๆ แล้วคอยดูต่อไปใครได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ทั้งหมด”
       
       แอร์ : “คือฟิล์มก่อนหน้านั้นจะเป็นยังไง เด็กไม่เกี่ยว อยากให้คุณแม่ของเด็กคนนี้ลดทิฐิลง เพื่อที่จะพิสูจน์ไปเลยว่าเด็กคนนี้ใช่หรือไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงกับผู้ชายแล้ว เขาก็บอกเองว่าเป็นความผิดพลาด แล้วมันมีเด็กคนนี้ แล้วใครคือพ่อเขา มันเป็นคำถามอยู่ ฉะนั้นหาคำตอบให้สังคมสิครับ”
       
       พจน์ : “ฟิล์มก็สงสารเด็ก นี่ถ้าเด็กพูดได้มันคงบอกว่ารำคาญแล้วมั้ง แต่เด็กพูดไม่ได้ไง ฟิล์มถึงเครียด ผมถึงได้ด่ามันไง แล้วตอนนี้มันไม่จบ เดี๋ยวคนโน้นคนนี้ออกมาพูด เราก็เลยสรุปให้ฟิล์มเลยว่า ถ้าเขาออกมาพูดแล้วไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอฟ้องอย่างเดียว มีสิทธิ์ครับผมถามทนายความแล้ว สามารถฟ้องได้หมดจนกว่าจะตรวจดีเอ็นเอ”
       
       ต่อข้อซักถามที่ว่า ข้อสรุปที่ว่าจะฟ้องร้องนี้ นักร้องหนุ่มเห็นด้วยจะยอมฟ้องหรือไม่ ผู้กำกับชื่อดังตอบทันที
       
       พจน์ : “ยอมครับ ผมได้คุยกับฟิล์มและผู้ใหญ่บางคน แล้วตอนนี้ผมก็เป็นผู้ปกครองของฟิล์มแล้วไง เพราะพ่อแม่ก็ไม่ไหวแล้ว”
       
       แอร์ : “มันเป็นความต้องการของครอบครัวและตัวน้อง ที่อยากรู้ว่าเด็กคนนี้ใช่หรือเปล่า ผู้หญิงไม่ต้องตรวจก็ได้ครับ แต่อย่ามาพูดอีกว่าเป็นลูกฟิล์ม”
       
       พจน์ : “แล้วที่ทำแบบนี้มันไม่ใช่การบีบให้เขาตรวจนะ มันเป็นความถูกต้องของกฎหมาย ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นฟิล์มมีสิทธิ์ แล้วผมก็ไม่ได้ติดต่อหรือคุยกับแอนนี่เรื่องนี้ เพราะผมไม่ได้คุยตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และถ้าในพ็อกเก็ตบุ๊กเขามีใจความพาดพิงถึงฟิล์มก็จะฟ้อง แล้วใครมาว่าผมสร้างเรื่อง เดี๋ยวผมปรึกษาทนายก่อน ฟ้องได้หรือเปล่า แต่ผมเคยถามทนายแล้วนะในกรณีที่ว่าผมเป็นกุนซือ ทนายบอกฟ้องไม่ได้ เพราะเขาชมคุณว่าคุณเก่ง (หัวเราะ) ตอนแรกว่าจะฟ้องซะหน่อย”
       
       “ถามว่าเรื่องนี้ผมได้คุยปรึกษาเฮียฮ้อ (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) ไหม ผมไม่อยากเอาเฮียฮ้อมาเกี่ยวแล้ว เพราะเฮียฮ้อเป็นผู้ใหญ่ ผมนี่แหละเป็นตัวแทนของฟิล์มเลยว่าฟ้องแน่นอน อย่าไปยุ่งกับเฮียฮ้อเลย สงสารเฮีย เพราะเฮียเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มีข้อมูลเขาถึงออกมาพูด แต่คนก็ไปด่าเขาไม่รู้เรื่องรู้ราว”
       
       ปณต : “คือด้วยความเครียดของน้อง ทำให้เฮียฮ้อซวยไปด้วย”
       
       เมื่อถามผู้กำกับชื่อดังต่อถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่ว่า “ฟิล์ม” เป็นจำเลยของสังคม เจ้าตัวรีบบอกปฏิเสธทันที
       
       พจน์ : “น้องก็รู้ไม่ต้องมาถามพี่หรอก ไม่พูดถึงเขาดีกว่า มันก็มีกะเทยอยากหาเงินซื้อกระเป๋าแหละ ไม่งั้นคงไม่เป็นเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็รู้กันหมดทุกคน น้องก็รู้ว่าเป็นใครแต่พูดไม่ได้ ถ้าวันไหนเขาถือกระเป๋าใบใหม่ นั่นแหละใช่”
       
       ปณต : “ผมอยากให้พวกพี่เขียนและเห็นใจ อย่าให้สังคมลงโทษเขาทั้งสองคนเลย ฟิล์มก็แย่ แอนนี่ก็แย่ ตัวเด็กก็แย่ เขียนยังไงก็ได้อย่าให้เขาไปลงโทษกัน อย่าให้สังคมลงโทษคนที่ยังไม่รู้ว่าผิดหรือไม่ผิด”
       
       แอร์ : “อย่าฟังความข้างเดียวครับ ไม่ใช่ฟังปุ๊บแล้วเชื่อเลยเพราะความสงสาร ไม่ฟังใครอีกแล้ว แบบนี้ถูกหรือครับ”
       
       พจน์ : “เพราะฝ่ายหญิงพูดมาตลอด พอฝ่ายหญิงอุ้มท้องมาเราก็สงสารนะ แต่เราก็ต้องการความจริงว่าคืออะไรเท่านั้นเอง แล้วยิ่งดีเอ็นเออยู่บนหน้าเด็กอย่างนี้ ไปพูดให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อ ไม่ได้มันต้องพิสูจน์กัน ก็ว่าวันไหนเขาไปออกทีวี พี่จะไปดึงผมหน่อย (หัวเราะ) แล้วที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเรามั่นใจว่าไม่ใช่ลูกฟิล์มนะ เราไม่ได้บอกว่ามั่นใจ แต่ถ้าไม่มีการตรวจดีเอ็นเอแล้วมาพูดว่าลูกฟิล์ม เราก็ฟ้อง”
       
       ปัดมีอิทธิพลสามารถคุมผลตรวจดีเอ็นเอได้ ท้า “แอนนี่” จะเอากี่ 10 หมอมาตรวจก็ยินดี
       
       แอร์ : “ให้เขาเอาคนที่คิดว่าเชื่อใจที่สุดเลยไหม หมอพรทิพย์เอาไหม จะเอา 10 หมอมาเลยทีเดียวก็ได้ วัดกันดูก็ได้ จะหมอไหนก็ได้ อิทธิพลบางทีมันใช้กับทุกอย่างไม่ได้หรอกครับ และบ้านผมก็คงไม่มีอิทธิพลอะไรขนาดนั้น เพราะมาจากคนจนๆ เหมือนกัน”
       
       พจน์ : “เด็กออกน่ารักแบบนั้น ถ้าใช่ก็เลี้ยง ถ้าไม่ใช่ก็เลี้ยง ฟิล์มก็พูดตลอด แต่คนทางบ้านเอสเอ็มเอสมา ทำไมไม่รับผิดชอบ ผมก็ไม่รู้ฟังข่าวยังไง ก็งงว่ามันฟังกันหรือเปล่า จริงๆ เราสามารถใช้กฎหมายมาฟ้องขอตรวจดีเอ็นเอได้ แต่ฟิล์มไม่ทำไง พี่ถึงได้ด่ามันให้มันตายไง มันบอกสงสารเด็ก สงสารผู้หญิง พี่เลยบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวมึงหายป่วยแล้วเดี๋ยวกูจัดการเอง เราไม่ได้ฟ้องผู้หญิง แต่แค่บอกว่าห้ามมาพูดว่าเป็นลูกฟิล์มเท่านั้นเอง ถ้าจะพูดต้องไปตรวจดีเอ็นเอ”
       
       แอร์ : “ถามว่าครอบครัวผมรู้สึกยังไงกับเด็กคนนี้ มันใช้ความรู้สึกไม่ได้หรอก เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นลูกใคร เราใช้ความรู้สึกเอาหรือครับ เด็กหน้าเหมือนคนอื่นก็ตั้งเยอะตั้งแยะ ในโลกนี้คนหน้าเหมือนกันก็ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่นี่ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเหมือนเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เด็กอาจไม่เหมือนแต่อาจไปเหมือนตอนโตก็ได้ เราใช้ความรู้สึกไม่ได้ ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือตรวจ เป็นผลที่ทุกคนรับได้”
       
       พจน์ : “แต่ถ้าไม่ตรวจก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพูดอีกก็ฟ้อง (หัวเราะ)”
       
       แอร์ : “ไม่ตรวจไม่เป็นไร แต่อย่ามาพูดนะว่าลูกอย่างโน้นอย่างนี้นะครับ ต่อไปมีใครท้องเดินมาบอกว่า คุณเป็นพ่อแต่ฉันไม่ตรวจ ผู้ชายไม่ตายกันหมดเลยหรือครับ บ้านแตกสาแหรกขาด ทุกคนไม่ต้องเลิกกับแฟน เลิกกับภรรยาที่อยู่ที่บ้านเหรอครับ ผมอยากพูดว่าความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน”
       
       ผู้จัดการ “ฟิล์ม” เผยโอนเงินให้ “แอนนี่” ในชื่อเจ้าของบัญชี “ฐิฏิพร เสฎฐภูมิ” ยันไม่รู้เป็นบัญชีของใคร รู้แต่เพียงว่าเงินถึงมือดาราสาวทุกครั้ง
       
       ปณต : “ที่ผมเป็นคนโอนเงินให้เขา ถามว่าทางเขาขอมา หรือฟิล์มเป็นคนให้เอง คือเขาก็เปรยๆ มา ผมก็รู้ถึงความจำเป็น บางทีเป็นฟิล์มโอนให้ หรือไม่ผมก็โอนให้บ้าง ซึ่งชื่อบัญชีที่ให้โอน ฐิฏิพร ผมก็ไม่ทราบว่าใช่ของเขาหรือเปล่า แต่มันมาจากเบอร์เขา เขาส่งมาให้ทางโทรศัพท์ คือคุณฐิฏิพร ผมก็ไม่รู้ว่าคือใคร แต่ในเมื่อโอนไปแล้วเขาได้รับเงิน มันก็น่าจะแค่นี้ เราไม่เคยซักถามว่าคนชื่อนี้คือใคร เพราะเราไม่ได้มีเจตนาที่จะต้องไปสืบ แต่เขาได้รับเงินที่โอนให้”
       
       “ซึ่งถ้าไม่ได้เขาก็จะโทรบอก อย่างตอนที่น้องเข้าโรงพยาบาลยอด 4.5 หมื่นบาท เขายังส่งแมสเซจมาว่าการเงินเตือนแล้ว และยอดทั้งหมดนี้คืออยู่โรงพยาบาลเวชธานีอาทิตย์หนึ่ง คือตัวผมไม่สงสัย เพราะแอนนี่ก็บอกเองในรายการตีสิบว่าได้รับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัย ส่วนตอนนี้เขายังใช้เบอร์ที่เคยส่งมาให้ผมอยู่หรือเปล่า ผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ติดต่อไปแล้ว”
       
       พจน์ : “เรื่องการโอนเงินผมไม่ได้สงสัยอะไร ไม่รู้เรื่อง แต่ทำไมเป็น ฐิฏิพร เรื่องของเรื่องคือ ออกรายการสรยุทธพูดอีกแบบหนึ่ง ฟิล์มเสียเลยเละเลย เพราะรายการคุณสรยุทธคนดูเยอะมาก แล้วพอมาพูดอีกทีในรายการตีสิบเป็นคนละเรื่องกับที่รายการคุณสรยุทธพูด มันก็เลยต้องมาดูสิว่าอันไหนเป็นความจริงกันแน่”
       
       แอร์ : “ตอนแรกบอกอุ้มท้องขับรถไปคลอดเอง พอตอนหลังเปลี่ยนว่านั่งแท็กซี่ไปตี 3-4 ผมก็ไม่เข้าใจว่าตกลงยังไงกันแน่”
       
       ปณต : “เราไม่ได้รังแกเลย เราดูแลผู้หญิงมาตั้งแต่ทีแรกแล้วอยากให้เข้าใจไว้ ผมดูแลและเป็นเพื่อนเขามาตั้งแต่ทีแรกแล้วครับ แต่ที่เขาบอกว่าฟิล์มหายไป ตอนช่วงที่เด็กป่วยและเขาไปขอความช่วยเหลือ คือถ้าหายไปก็จะไม่มียอดโอนเงินไปครับ และที่ฟิล์มหายไปเพราะน้องไปทำงาน ซึ่งงวดล่าสุดที่โอนเงินไปให้เขา คือวันก่อนที่จะเป็นข่าว 1 วัน เพราะเขามาขอก็โอนไปให้เขา 4.5 หมื่นบาท”
       
       แอร์ : “ที่ฟิล์มหายไป เขาไปจีนกับผม ผมทำทัวร์อยู่ ก็ไปด้วยกัน พอกลับมาผมก็เป็นคนไปโอนเงินเอง ซึ่งยอดเงินทั้งหมดที่โอนให้เขา ตอนแรกแสนห้า (เปิดดูหลักฐานการโอนเงิน) แล้วก็มีที่พี่ณตโอนอีก 5 หมื่นบาท”
       
       ปณต : “ก็มีที่โอนจากสระบุรี 2 หมื่นก่อน แต่ถ้ารวมยอดทั้งหมดประมาณ 2.5 แสนบาท รวมสรุปโอนทั้งหมด 3 ครั้ง เริ่มโอนตั้งแต่ช่วงที่เขาคลอดลูก ส่วนก่อนคลอดก็มีเหมือนกัน พอเขาจำเป็นเราก็โอนไป โอนไปบัญชีเดียวกันชื่อ ฐิฏิพร”
       
       พจน์ : “ก็ตอนที่เขาท้องไม่ได้คุยกับใคร เขาคุยกับพัดลมไง ไอ้นี่ก็เลยไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ)”
       
       โต้ให้เงิน “แอนนี่” เพื่อปิดปากเรื่องท้องกับ “ฟิล์ม” บอกตั้งใจจะเปิดเผยอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายต่างหากที่ขอไว้ให้เก็บเป็นความลับ พร้อมแฉอุ้มท้องแอบไปคลอด พร้อมระบุชื่อนักร้องหนุ่มเป็นพ่อของ “น้องทีฆายุ”
       
       ปณต : “มีข่าวออกมาเยอะว่าเราเอาเงินปิดปากบ้าง โน่นนี่นั่นบ้าง ไม่ต้องปิดหรอกครับ ถ้าปิดก็ปิดตั้งแต่วันแรกแล้ว เราไม่ได้โอน เราทำตามความต้องการของเขาอยู่แล้ว เขาบอกยังไม่อยากให้ไปยุ่ง เราก็ไม่ไปยุ่ง คือเราก็ดูแลในสิ่งที่เขาต้องการ ทุกครั้งที่เขาโทรมาอยากได้อะไรก็ค่อยโอนไป”
       
       แอร์ : “ล่าสุดแม่ซื้อโซฟาก็ยังเอาไปให้เขาอยู่เลย เขาบอกว่าอยากจะปิดข่าวเพราะอยากอยู่ในวงการต่อไป เขาอยากคลอดลูกเสร็จปุ๊บแล้วเอามาฝากไว้ แม่ผมยังบอกว่าจะช่วยเลี้ยงถ้าคุณอยากจะปิด เพราะเราไม่มีสิทธิ์ ถ้าเขาจะปิดแล้วเราจะไปเปิด บ้านผมรู้ดีว่าไม่มีทางปิดมิดหรอก จริงๆ อยากเปิดแต่แรกแล้ว แต่เขาบอกว่าปิดเถอะ เพราะ1.อยากให้ฟิล์มทำงานต่อ เราก็โอเคคุณเป็นคนดี 2.เราก็มีชื่อเหมือนกัน เราก็อยากทำงานต่อ โอเคในเมื่อเราตกลงกันอย่างนี้ ปิดก็ปิด”
       
       “ตอนแรกเราก็หวังไว้อยู่แล้วว่า พอเด็กเกิดมาปุ๊บยังไงจะตรวจให้ได้ แต่พอตอนคลอดแม่บอกให้คลอดวันที่ 22 มิ.ย. เขาก็บอกว่าจะคลอดวันที่ 22 แต่เขาไปคลอดวันที่ 17 ก่อนหน้านั้นแล้ว และก็ไม่ให้แม่ผมไปอีกเลย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน และเราก็ไม่เห็นใบแจ้งเกิดของเด็กด้วย เพราะเราไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรกับเรา เราก็บริสุทธิ์ใจ”
       
       พจน์ : “คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจจริงๆ คลอดวันนี้ก็ต้องให้พ่อแม่เขาไปวันนี้สิ ไม่ใช่ไปแอบคลอด มันต้องมีลับลมคมในสิ ไม่งั้นแอบไปคลอดก่อนทำไม”
       
       แอร์ : “นี่เขาไม่ให้ไปดูเลย แอบไปคลอดก่อน แล้วกลับไปบ้านอ้างว่าอยู่กับเพื่อนอยู่กับแม่ อย่ามาเลย ยังไงก็ไม่ให้ไป เรื่องชื่อพ่อเด็กในใบแจ้งเกิด เขาบอกในรายการว่าไม่ได้ใส่ถูกไหม แต่มีคนบอกว่าใส่ แล้วเป็นชื่อฟิล์ม รัฐภูมิ แต่ฟิล์มไม่ได้เซ็นรับ คือมีคนบอกอย่างนี้ แต่เรายังไม่มีหลักฐานที่แน่นอน ปรึกษาทนายถ้าจะฟ้องร้องตรงนี้ มันยากมากครับ”
       
       พจน์ : “น้องไปสืบดีกว่า พี่ก็อยากรู้ แต่จริงๆ ที่ออกมาพูดวันนี้ เพราะเราหาข้อสรุปกัน แล้วเอาน้องสองคนนี้ เพราะเขาไม่เคยพูดไง ก็เลยเอามาพูดให้ฟัง เพราะถ้าถ้าฟิล์มตายไปล่ะจะเป็นยังไง”
       
       แอร์ : “ผมก็ไม่เข้าใจสังคมเหมือนกัน ถ้าผู้ชายออกมาพูดคือรังแกผู้หญิง ถ้าไม่ออกมาพูดคือผู้หญิงพูดถูก คุณถึงไม่กล้าออกมา แล้วตรงไหนล่ะครับที่จะให้เราพูดความจริง”
       
       พจน์ : “ก็ตรงที่มันว่าเราสามคนรังแกผู้หญิงไง”
       
       แอร์ : “ผมว่ามันก็ต้องมีแล้ว คนที่ไม่ชอบก็ต้องว่าพวกเราออกมารุมรังแกผู้หญิงทำไม”
       
       พจน์ : “เราไม่ได้รุม แต่เราออกมาพูดความจริงให้สังคมรับรู้ เรากำลังคุยกันว่า ถ้าน้องออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราก็จะปรึกษาทนาย แต่นับตั้งแต่ตอนนี้ที่พี่พูดออกไป ถ้าใครพูดว่าเป็นลูกฟิล์ม ไม่ว่าองค์กรอะไรทั้งนั้น หรือฝ่ายหญิงมาพูดว่าเป็นลูกของฟิล์ม โดยที่ไม่มีการตรวจดีเอ็นเอ พี่จะฟ้องแน่นอน แต่ถ้าหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วฟิล์มจะมายืนยันเรื่องที่พี่พูด แล้วก็มีทนายด้วย จากนั้นก็จะให้ฟิล์มบวช แต่ยังไม่รู้จะบวชวัดไหน คือเราอยากให้ทุกฝ่ายออกมาพูดความจริง เหมือนที่พี่สมรักษ์ (ณรงค์วิชัย ผู้บริหารช่อง 3) กับเฮียฮ้อพูด”
       
       แอร์ : “อย่าหนีความจริงกันเลยครับ เพราะถ้าหนีความจริงใครจะรู้ครับว่า ลูกใครหลานใครจะโดนบ้างหรือเปล่า”
       
       ถามถึงอาการของ “ฟิล์ม” ตอนนี้ พี่ชายของนักร้องหนุ่มเผยว่า ยังคงเบลอๆ และงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
       
       แอร์ : “เขาก็ตื่นขึ้นมาแล้วแต่ยังเบลอๆ ว่าอยู่ที่ไหน ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป พูดได้บ้าง เขาก็สงสัยว่าทำไมห้องเปลี่ยนไป เราก็เล่าให้เขาฟัง เขา เขาก็ตลกอยู่บอก พี่จิ๊ก (เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์) เอายาอะไรมาให้กิน เขายังแบ่งให้แม่ไปกิน 2 เม็ด ก็บอกว่ายังดีที่แม่ไม่เป็นอะไร”
       
       “ตอนนี้ยังคุยกับเขาไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ เขาก็ยังจำไม่ได้ว่าเมื่อวานมีใครมาเยี่ยมบ้าง ตื่นมาเหมือนยังลืมอยู่ ตอนนี้หมอก็ให้กินน้ำดูดพิษก่อน พอมีสติดีแล้วเราค่อยเล่ากันใหม่ว่ามันเป็นอย่างนี้ ผมว่าดีไม่ดีเขาอาจจะหัวเราะด้วยซ้ำ เพราะขนาดผมเล่าไปเขายังจริงเหรอวะ หัวเราะอยู่เลย นอกจากอาการเบลอแล้วก็ไม่มีอาการข้างเคียงอย่างอื่นแล้วครับ เพราะเขาเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว ผมว่าไอ้ที่เขากินไปเยอะขนาดนี้ เพราะเขานึกด้วยแหละว่าเขาเป็นคนแข็งแรง กินเข้าไปแล้วไม่หลับ ก็คงกินเข้าไปอีก ส่วนเขาจะอยู่ที่โรงพยาบาลอีกกี่วัน อาจจะพรุ่งนี้หรือมะรืน ผมก็ไม่แน่ใจไม่ขอคอนเฟิร์ม”
       
       พจน์ : “พี่คิดว่ามันคงอยากนอนหลับไปเลย มันก็คงมีส่วนที่พี่ไล่มันไปตาย คิดว่ากูไม่รับรู้อะไรเลยดีกว่า ขอนอนสัก 2 วัน แต่มันดันกินเยอะ”
       
       แอร์ : “ผมว่าไม่ใช่เพราะพี่พจน์ทั้งหมด เพราะเขาต้องแถลงข่าวกับแฟนคลับเมื่อวาน เหตุผลเขาเลยจริงๆ ผมรู้ดี เพราะเขาอยากให้ร่างกายออกมาเฟิร์ม ถ้าไม่ได้นอนเมื่อไหร่หน้าจะคล้ำ ตาจะโบ๋เหมือนวันแถลงข่าว ถ้าแฟนคลับเห็นคงทำใจไม่ได้ ก็ต้องร้องไห้อยู่แล้ว เขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้นฟิล์มเนี่ยถ้ารู้เมื่อไหร่ต้องเจอแฟนคลับ หรือเจอเพื่อนๆ เมื่อไหร่ เขาจะทำตัวให้ดีที่สุด ปิ๊งที่สุด ไม่ว่าเจอปัญหาใด ผมก็เลยคิดว่าเขาต้องกินเพิ่มเข้าไปเพื่อให้หลับไวๆ”
       พจน์ : “ผมรู้แล้วถ้าฟิล์มหายออกมาจะทำงานอะไร มันต้องไปอยู่กับหลินปิง เพราะตามันจะดำ (หัวเราะ)”
       
       หลายคนสงสัย “ฟิล์ม” สร้างกระแสเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า เพราะไม่มีแพทย์ออกมาแถลงข่าวใดๆ?
       
       แอร์ : “มีนะ มีการติดบอร์ดและมีแพทย์เซ็นว่าจริง ถ้าเกิดว่าจะแกล้งกันจริงๆ ก็ไม่ต้องกินยาเข้าไป แล้วเดินเข้าโรงพยาบาลบอกว่าเป็นก็ได้ถูกไหมครับ แต่นี่หมอบอกว่าถ้าช้าอีกหน่อยเดียว ตายไปแล้ว”
       
       พจน์ : “แล้วที่พูดว่าผมจัดฉากเนี่ย ถ้าใครพูดผมฟ้องได้ไหม (หัวเราะ) ถ้าฟ้องได้ผมฟ้องนะ ผมถ่ายหนังอยู่ก็เหนื่อยนะ นี่ถ่ายหนังก็ต้องแวะมา เดี๋ยวก็ต้องไปถ่ายต่อ ถ้าใครพูดว่าผมจัดฉากจะฟ้องอีก”
       
       แอร์ : “ลองไปขอยาพี่จิ๊กแล้วกินดูสักแผง จะได้รู้ว่าจัดฉากหรือเปล่า คือเรื่องข่าวบ้านผมไม่เคยเครียด ความจริงคือความจริง อดทนไว้เดี๋ยวมันก็ออกมาเอง แต่ที่ฟิล์มเครียดที่สุดคือ1.ผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพี่พจน์ เฮียหรือใครก็ตามที่ออกมาโดนกระแสสังคมเละหมด 2.แฟนคลับที่คอยให้กำลังใจอยู่ เขาก็มาให้กำลังใจเรื่อยๆ เขาก็เป็นทุกข์ที่มีคนคอยห่วงเขามาก”
       
       ปณต : “เขาเป็นคนตั้งใจทำงาน งานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มหรือคอนเสิร์ตเอเชี่ยนซองส์ หรือบางกอกกังฟู แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว คนเคยทำงานแต่ตอนนี้อยู่บ้านเฉยๆ”
       
       พจน์ : “เรื่องงานตอนแรกเฮียคืนงานให้ฟิล์มแล้วไง แต่พอตอนหลังมีเรื่อง 4 คนออกมาเฮียก็เอาคืนกลับไปอีก (หัวเราะ) เฮียฮ้อก็แคร์สังคมนะ เพราะเขาก็อยู่ในสังคม ในเมื่อสังคมว่าฟิล์มผิด กูก็เอาคืนถูกต้องไหม พอเอาคืนก็เอาคืนไปเลย ไม่คืนกลับมาแล้ว ก็อยากจะขอเฮียฮ้อให้ช่วยเอาคืนกลับมานี่ไง”
       
       ปณต : “จริงๆ หลังจากที่น้องได้พูดไปสภาพจิตใจเขาดีขึ้น แต่หลังจากที่เฮียสัมภาษณ์ไป คุณสมรักษ์มาโดนอีกคนหนึ่ง แล้วก็นี่เต็มๆ (ชี้พจน์) แล้วถามว่าจะให้น้องมาพูดว่าโดนปลดเหรอ เขาก็บอกผมว่าไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เขาก็นั่งอยู่ในบ้าน วิ่งไปวิ่งมาเหมือนหนูถีบจักร คนเคยออกมาทำงาน 30 วัน นี่เกือบ 20 วันแล้วมั้งวิ่งไปวิ่งมา เดินอยู่ในบ้าน กินนอนๆ มันยุติธรรมกับเขาแล้วเหรอครับ”
       
       “ตอนนี้เขาไม่มีงานเลย อาร์เอสตัดงานเพราะเห็นว่าสภาพฟิล์มไม่พร้อม ก็เลยตัดหมดแบบไม่มีกำหนด หลายๆ อันที่ยังติดสัญญาก็ยังคุยกันอยู่ ล่าสุดที่มีคือของดังกิ้น โดนัท ที่จะต้องพาผู้โชคดีไปร่วมงานเอเชี่ยนซองส์ ยังไม่รู้ว่าอันนี้จะแคนเซิลไหม”
       
       พจน์ : “ก็นี่ไงขออย่าให้เฮียฮ้อใจไม้ไส้ระกำ ขอให้งานฟิล์มคืนเถอะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าฟิล์มผิดหรือเปล่า”
       
       ถามต่อว่าหลังจากนี้ถ้า “แอนนี่” ออกมาพูดตอบโต้อะไรอีก จะจัดการอย่างไร ทั้งหมดยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า จะพูดอะไรก็ได้ แต่ถ้าพูดเป็นลูก “ฟิล์ม” เมื่อไหร่ฟ้องแน่
       
       พจน์ : “ก็ตอบโต้ไป แต่อย่าพูดว่าเป็นลูกฟิล์มละกัน ฟ้องอย่างเดียว จะพูดเป็นลูกอีหมูอีหมาที่ไหนก็พูดไป แต่อย่าพูดว่าเป็นลูกฟิล์ม”
       
       ปณต : “จุดประสงค์ที่ฟ้อง เพราะเขาบอกว่าน้องคนนี้เป็นลูกของฟิล์ม มันจะมีคำถาม ถ้าตอบแล้วมันคงจะหยุดมั้ง”
       
       พจน์ : “พูดตรงๆ เลยนะผู้ชายไทยร้อยทั้งร้อย ถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัวว่าเป็นลูก มันไม่ยอมรับหรอก ไม่ต้องไอ้ฟิล์มหรอก ทุกคนแหละ”
       
       แอร์ : “ก็ถ้าต่อไปเขาออกงานก็เรื่องของเขา มีงานทำก็ดีแล้ว เขาจะได้เลี้ยงเด็กด้วย”
       
       ถ้า “แอนนี่” โทรมาเรียกร้องขอเงินค่าเลี้ยงดูอีก จะตัดความช่วยเหลือไปเลยหรือไม่?
       
       พจน์ : “คุยกับทนายความเลย ไม่ใช่ๆ ลูกกู ต้องบอกว่าฟิล์มอย่าไปรับแล้ว เพราะคนอื่นยังบินหนีไปเลย ไม่ได้เอ่ยชื่อนะ แต่เขาไม่ได้ไปก็คนละคน (หัวเราะ)”
       
       แอร์ : “ปกติยังไงก็ช่วย แต่เขาบอกออกมาเองว่าไม่ต้องการ แล้วที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วย เพราะยังติดต่อกันไม่ได้มากกว่า อนาคตไม่แน่ไม่นอน”
       
       พจน์ : “เรื่องมันขนาดนี้แล้วใครจะไปช่วยอีกล่ะ ฟิล์มโดนฆ่าขนาดนี้ ใครจะช่วย ถ้าช่วยเด็กน่ะช่วย แต่ถ้าช่วยผู้หญิงไม่ช่วย เพราะตอนนี้ผู้หญิงทำงานอยู่นะ ถ่ายแบบหนังสือ 2 เล่มนะ เล่มละแสนห้านะ แล้วจะเอาเงินอะไรที่ฟิล์มอีก”


ที่มา: manager.co.th






 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)