“พจน์ อานนท์” เปิดแถลงข่าวยอมรับทะเลาะกับ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ก่อนที่ซูเปอร์สตาร์คนดังจะซัดยานอนหลับ เหตุเพราะแนะนำให้ฟ้อง “แอนนี่” ก็ไม่ทำกลัวสังคมประณาม และสงสารเด็ก บอกให้ไปบวชก็ไม่ทำกลัวสังคมหาว่าหนีไปบวช สุดฉุนไล่ให้ไปตายก่อนทราบข่าวฟิล์มเข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ วอนสังคมให้ฟังฝ่ายชายบ้างไม่ใช่เห็นใจแต่แม่กับลูก ส่วนผู้ชาย 4 คนที่ “เฮียฮ้อ” พูดถึงไม่ต้องไปพูดถึง เพราะคงไม่มีหมาตัวไหนออกมายอมรับ วอนไม่ต้องไปหาพ่อของลูกให้แอนนี่แล้ว ให้รอพิสูจน์ความจริงจากทั้งคู่ดีกว่า
หลังจากที่โดน “เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ดับเครื่องชนเปิดปูมว่า “แอนนี่ บรู๊ค” เกี่ยวข้องกับผู้ชาย 4 คนและเรียกร้องเงินขณะตนเองท้อง โดย 2 ใน 4 ก็คือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” และ “จุ๊น กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข” โดยมี “สมรักษ์ ณรงค์วิชัย” ผู้บริหารช่อง 3 ต้นสังกัดจุ๊นเป็นผู้คอนเฟิร์มว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงโดนด่าว่า “รังแกผู้หญิง” ส่งผลให้หน่วยงานองค์กรต่างๆ ดาหน้าออกมาปกป้องแอนนี่ แม้ว่าภายหลังสมรักษ์จะออกมายอมรับข้อมูลที่เฮียฮ้อพูดนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม
ด้าน แอนนี่ หลังจากถูกแฉก็เก็บตัวเงียบ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เจ้าตัวกำลังจะออกหนังสือแฉฟิล์ม โดยได้ค่าตัวนับแสน นี่ยังไม่รวมค่าตัวพรีเซ็นเตอร์อีกหลายล้าน ที่มูลนิธิเพื่อนหญิงเปิดเผยว่า แอนนี่กำลังจะเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ายี่ห้อหนึ่ง ทางด้านฟิล์มนั้นก็เก็บตัวเงียบเช่นกัน มีแต่ “นางโคมมนต์ ทองมั่ง” แม่ของฟิล์มออกมาแถลงข่าวเปิดเผยความในใจวอนให้แอนนี่ยอมตรวจดีเอ็นเอเพื่อความกระจ่างของสังคม อย่าทำให้เกิดตราบาปกับฟิล์มและลูกไปตลอดชีวิต
หลังจากนั้น เมื่อเช้าวันที่ 4 ตุลาคม ก็มีข่าวว่า ฟิล์มทานยานอนหลับเกินขนาดจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล BNH ย่านสาทร ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ซูเปอร์สตาร์คนดังอาจจะฆ่าตัวตาย เพราะกลุ้มใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยผู้จัดการของฟิล์มได้เปิดเผยผ่านรายการ “เช้าดูวู๊ดดี้” คืนก่อนเกิดเหตุฟิล์มได้พูดคุยกับ “พจน์ อานนท์” เป็นคนสุดท้าย
เวลา 11.30 น.ที่ผ่านมา พจน์ อานนท์ ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมฟิล์มที่โรงพยาบาล และได้เปิดแถลงข่าวอย่างอัดอั้นตันใจว่า สังคมไม่ฟังฟิล์มเลยมีแต่เห็นใจแม่กับลูก พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า....
“จริงๆ ผมคุยกับฟิล์มตั้งแต่ตอนทุ่มก็คุยวางคุยวางพอประมาณ 5 ทุ่ม ฟิล์มก็บอกว่าพี่ผมจะทำยังไงดีตอนนี้มันเป็นเรื่องใหญ่โตไปใหญ่แล้ว ผมก็บอกว่ามึงก็ไอ้นั่นเอง ดูสิขนาดเฮียผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆ สองคนออกมาเละหมดแล้ว รวมทั้งผมเอง ผมก็บอกว่า ผมไม่ช่วยฟิล์มแล้วไม่เสนอดีกว่า ฟิล์มก็บอกว่าแล้วผมจะทำยังไง ตอนนี้เฮียตัดงานผมหมดแล้วผมจะทำยังไงอีกต่อไป ผมก็ยังพูดเล่นกับมันว่า ก็ไปช่วยแม่ทำผมก็แล้วกัน คุยไปคุยมาผมก็เลยบอกว่า ฟิล์มพี่มีวิธีพี่เคยคุยกับทนายความมาแล้ว”
“คือ ฟิล์มเนี่ยสามารถฟ้องหมิ่นประมาทแอนนี่ได้กรณีที่มาว่า ฟิล์มเป็นพ่อของเด็กในท้อง แต่ความจริงมันยังไม่ใช่อย่างนั้น ต้องตรวจดีเอ็นเอให้ศาลบังคับให้ตรวจดีเอ็นเอ ฟิล์มก็จะบอกว่าไม่เอาหรอกพี่เดี๋ยวสังคมก็จะบอกว่า ผมรังแกผู้หญิงอีก หาว่าผมทำร้ายผู้หญิงอีก อีกอย่างหนึ่งผมสงสารเด็ก”
“ผมก็เลยบอกว่างั้นมึงก็ไปบวช ฟิล์มก็บอกว่า ถ้าผมบวชมันก็เหมือนกับว่าผมหนีความจริง เดี๋ยวคนก็จะหาว่าเอาผ้าเหลืองมาปิดบังความจริงอีก ผมก็เลยโมโหก็เลยบอกว่า งั้นมึงก็ตายมึงก็ไปตายมันจะได้จบๆ เพราะตอนนี้มันเละไปหมดแล้ว ขนาดเฮียฮ้อกับพี่สมรักษ์ผู้บริหารระดับใหญ่คนยังไม่เชื่อเลย”
“ผมไม่เข้าใจว่าสังคมนี้ทำไมห่วงแต่แม่ทำไมไม่ห่วงพ่อกันบ้าง ก็ออกมาอ้างว่าผู้หญิงเป็นแม่ท้อง 9 เดือนอุ้มท้องเหนื่อย แล้วพ่อล่ะอันนี้ผมหมายถึงคนทั่วไปนะครับ พ่อทำงานเหนื่อยแทบตายเพื่อจะต้องเลี้ยงลูกตลอดชีวิต ผมก็บอกว่า สังคมมันเป็นอะไรไปผมก็บอกกับฟิล์ม ผมก็คุยไปคุยมาหลายเรื่องและก็วางหูไป”
“แล้วเขาก็โทร.กลับมาอีก ผมก็ถามว่ามึงจะเอายังไง มันก็บอกว่า ผมทำอะไรไม่ถูก ผมก็บอกว่าฟิล์มตั้งสติให้ดีๆ นะเพราะตอนนี้สังคมเขามองว่า มึงเป็นคนผิด ผมก็เล่าให้มันฟังว่า ขนาดเฮียเขาออกมาพูดว่ามี 4 คนน่ะ ขนาดเฮียเขาออกมาพูดสังคมยังไม่เชื่อเลยหาว่าใส่ร้าย หาว่าพ่อให้หาแพะ ผมก็อยากจะวอนสังคมวอนพี่ๆ นักข่าวว่า ไอ้ 4 คนที่ตามหากันอยู่ไม่ต้องออกไปตามหาแล้ว เพราะมันไม่มีหมาตัวไหนออกมารับหรอก ไม่มีหมาตัวไหนออกมารับว่าทำหรอก มีแต่ไอ้ฟิล์มคนเดียวนี่แหละที่รับว่าทำ ผมว่าไปหาความจริงดีกว่าอันไหนโกหกอันไหนจริง เฮียโกหกหรืออีกฝ่ายโกหก”
เผยถึงภาวะของ “ฟิล์ม” ก่อนจะกินยานอนหลับ และถูกส่งไปยังโรงพยาบาล
“เมื่อตอนบ่ายมันโทรมาถามหายานอนหลับก่อน มันถามพี่พจน์มียานอนหลับไหม ผมบอกกูไม่ใช่หมอจะไปมีได้ยังไง พอบอกไม่มีซักพักก็โทรมาอีก คือมันซึมน่ะลักษณะที่เราได้ยินคือมันทำอะไรไม่ถูก คือไอ้ฟิล์มมันกลายเป็นไอ้ฟักไปแล้ว มันถูกคำพิพากษาของสังคมว่าเป็นคนชั่วไปแล้ว”
“ตอนนั้นผมก็บอกว่า งั้นมึงก็ไปตายซะ ถ้ามึงไม่ทำมึงก็ตายทั้งเป็นแบบนี่แหละไอ้ฟิล์ม ลูกมึงก็จะเป็นตราบาปติดตัวตลอดไปเพราะผู้หญิงไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ ฟิล์มมันก็เงียบไปและสุดท้ายมันก็บอกว่า พี่พจน์ครับ ผมรักพี่พจน์นะครับแล้วมันก็วางหู กูก็เอ๊ะมันจะมารักอะไรกู มันไม่เคยพูดกับเราแบบนี้มันจะมารักอะไรกูตอนนี้ กูพึ่งด่ามันหยกๆ เสียงมันเศร้าๆ ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“คือ ผมโมโหนะครับสังคมมันเอาซะผมเละ เอาซะเฮียฮ้อเละ ผู้บริหารช่อง 3 อีกคนก็เละ จริงๆ เรื่องทั้งหมดเนี่ยมันไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงไง ถ้ามันไม่มีกะเทยปากเป็นอัมพาตสองตัวออกมา เรื่องมันก็คงไม่ถึงขนาดนี้ไง ผมคิดว่าพวกเรา(สื่อมวลชน)ช่วยกันหาดีกว่าว่าใครโกหก เพราะว่าที่ผมพูดความจริงออกไปไม่รู้ใครจะเชื่อไหม แต่เวลาคนอื่นพูดโกหกทำไมสังคมเชื่อ”
“คือ เราอย่าไปมองสิว่า เพศแม่เป็นเพศที่อ่อนแอ เพศพ่อก็สำคัญด้วยถ้าไม่มีเพศพ่อเนี่ยลูกจะออกมาได้ไหม ก็ต้องเห็นใจพ่อด้วย จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของคนสองคน องค์กรสตรีอะไรเนี่ยคำก็จะฟ้องสองคำก็จะฟ้อง ผมว่าคุณเอาทั้งสองมาประสานกันให้เขาคุยกันมันไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ใช่เดี๋ยวจะฟ้องเฮียฮ้อเดี๋ยวจะฟ้องคนโน้น คุณไม่คิดเหรอว่า เมื่อความจริงมันเปิดเผยออกมาหน้าแหกนะ”
“ความจริงมันอยู่ที่ศาลตัดสิน และเขาต้องมีหลักฐานแล้วเขาถึงกล้าออกมาพูด เฮียฮ้อไม่ใช่เด็กๆ นะ ที่ผมสงสารมันเพราะว่าเฮียฮ้อไม่เอามันแล้ว ซึ่งตรงนี้เฮียฮ้อเขามีสิทธิ์เพราะฟิล์มเป็นเด็กในสังกัด แต่ไอ้พวกที่ออกมาว่าเด็กผมสำส่อนพวกนี้ไม่มีสิทธิ์ เฮียฮ้อเขาไม่ช่วยฟิล์มหรอก เพราะขายเทปฟิล์มก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันไม่ได้ขายดีหรอก ก็ยังมาว่าช่วยเพราะผลประโยชน์”
“ผมไม่เข้าใจว่าผู้หญิงมันทำผิดทำเลวไม่ได้หรือไง อันนี้ผมยกตัวอย่างให้ฟังนะ สมมติมีผู้หญิงคนหนึ่งขายตัวอยู่ 3 หมื่นบาท แล้วเราไปเที่ยวแล้วอยู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าท้องแล้วคุณต้องรับผิดชอบ เขาก็ต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอถูกต้องไหมว่าใช่ลูกของเขาหรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่เขาก็ต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ อันนี้คือการสมมติขึ้นมานะ”
“ฟิล์มมันก็ต้องตรวจดีเอ็นเอไง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมสังคมถึงไม่เข้าใจฝ่ายชายบ้าง ผู้หญิงทำอะไรก็ถูกเหรอ ผู้หญิงทำผิดทำเลวก็มีนะ เพราะฉะนั้นก็ต้องเห็นใจฝ่ายชายด้วย คงเป็นเพราะบ้านเรามันไม่มีมูลนิธิผู้ชายหรือยังไงก็ไม่รู้เนอะ”
“แล้วที่เขาบอกว่า ผู้ใหญ่รังแกเด็กมันไม่ใช่ ตอนที่เขาออกรายการตีสิบเขาก็บอกว่า เขาอายุ 30 แล้วนะ เขาพร้อมที่จะมีลูก แต่ตอนนี้คนที่ถูกรังแกคือไอ้ฟิล์ม ไอ้ฟิล์มมันอายุ 25 เอง มันเด็กที่สุดแล้วในจำนวนที่ออกมาเป็นข่าวทั้งหมด แล้วที่ผมออกมาพูดเนี่ย ผมพูดในฐานะที่เป็นคนเอามันเข้ามาในวงการและผมก็คุยกับมันตลอด คุยๆ จนมันจะฆ่าตัวตาย คุยแบบไม่รู้จะคุยยังไงแล้ว คุยจนผมไม่ได้ทำงานเลย หนังเหนิงก็ไม่ได้กำกับเป็นห่วงแต่มัน”
“ผมอยากให้สังคมเข้าใจมันบ้าง มันก็พูดแต่ส่งสารผู้หญิงสงสารเด็ก ผมก็เอ้าฟิล์มแล้วมึงจะยังไง ถ้าไปตรวจดีเอ็นเอแล้วเป็นลูกมึงล่ะ ถ้าใช่ลูกผมก็จะเลี้ยงเป็นอย่างดีเลย เพราะเด็กน่ารักมาก แต่ถ้าไม่ใช่ลูกฟิล์มเขาก็บอกว่า เขาก็จะเลี้ยง คือ มันก็จะเลี้ยงอ่ะ ผู้ชาย 4 คนที่เฮียพูดมีมันคนเดียวนี่แหละออกมายอมรับ คนอื่นไม่มีใครยอมรับเลย เต๋า (สมชาย เข็มกลัด) ไม่ต้องไปสัมภาษณ์กันหรอกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ไปหาความจริงกับสองคนนี้ดีกว่าใครพูดความจริงใครพูดโกหก ลองไปดูอีกะเทยปากเป็นอัมพาตว่ามันพูดอะไร เราก็ไม่อยากพูดเพราะเคยได้ยินมาบ้าง”
เผย “จิ๊ก เนาวรัตน์” ผู้ที่ให้ยาคลายเครียดกับ “ฟิล์ม” เป็นห่วงฟิล์มมาก
“พี่จิ๊กเขาเป็นห่วงฟิล์ม และเขาก็โทร.มาคุยกับผมบ่อยว่าจะช่วยฟิล์มยังไงได้บ้าง ผมก็บอกว่า เฮียฮ้อยังช่วยอะไรไม่ได้เลยขนาดเขามีหลักฐานอยู่แล้วเขายังทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าคนเราถ้าไม่ยอมรับอะไรซักอย่างเนี่ย จะไปบีบคอมันก็ไม่ได้จะให้มันมารับก็ไม่ได้ มีแต่ไอ้ฟิล์มนี่แหละที่ออกมารับคนเดียว ตอนนี้ผมก็อยากให้มันไปแจ้งความ ถ้ามันตื่นขึ้นมาเนี่ยจะลากมันไปแจ้งความ ถ้ามันไม่ไปก็จะลากมันไปเอง”
“ฟิล์มต้องฟ้อง ถ้าเขาไม่ตรวจดีเอ็นเอสังคมก็ยังคิดว่าเป็นลูกฟิล์มอยู่ เป็นจนตายไปเลยเหรอ เพราะเขาไม่ยอมตรวจ ลองคิดดูสิทำไมไม่ยอมตรวจ ถ้ามีความมั่นใจมากทำไมไม่ตรวจ แล้วก็บอกว่าดีเอ็นเออยู่บนหน้าน้องแล้ว หน้าอะไรแล้วเด็กคนที่หน้าเหมือนทักษิณล่ะ ต้องเป็นลูกทักษิณเหรอ”
“ผมก็อยากจะบอกสังคมว่า เห็นใจมันเถอะครับฟิล์มมันพึ่งอายุ 25 เอง อย่าสงสารแต่เพศแม่เพราะเพศพ่อก็ลำบากต้องหาเลี้ยง แม่คลอดลูกออกมาก็เลี้ยงลูกแต่พ่อก็ลำบากต้องหาเงินเลี้ยงเมียเลี้ยงลูกเหมือนกัน มันก็ต้องเห็นใจเพศพ่อด้วยไม่ใช่เห็นใจแต่เพศแม่ ระหว่างเรื่องสองคนเนี่ยเขามีอะไรกันเนี่ยมันก็เป็นเรื่องของทั้สองคน ผมก็ยังพูดกับฟิล์มเลยว่า ไอ้ฟิล์มถ้ากูอยู่วันที่มึงมีอะไรกันน่ะ กูจะไปห้ามเลย จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวแบบนี้”
“แล้วหนังสือพิมพ์ก็มาบอกอีกว่า พจน์ อานนท์ เป็นกุนซือเฮียฮ้อ กูเนี่ยนะเป็นกุนซือ ผมไม่เคยคุยกับเฮียฮ้อพึ่งจะเคยคุยครั้งเดียวว่า ให้เฮียทำใจดีๆ ไว้สังคมมันก็เป็นแบบนี้ความจริงมันต้องอยู่ได้ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะยังไง ถามว่า ฟิล์มตั้งใจจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า คงต้องไปถามเขาเอง แต่ผมว่าเขาคงทำอะไรไม่ถูกเพราะสังคมก็รุมอัด เฮียฮ้อก็ไม่ให้งาน ผมก็บอกว่าผมไม่เอาแล้ว คือไปรุมมันคนเดียว คือเห็นใจแต่ฝ่ายหญิง ทำไมไม่เห็นใจทั้งสองฝ่าย เพราะตอนที่เขามีอะไรกันพวกเราไม่รู้เรื่องเลยนะ”
ที่มา: manager.co.th