ปิดฉากม้วนเสื่อเก็บกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับมหกรรมงานจำหน่ายสินค้าไอที ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงต้น 2552 ปีที่ผ่านมา “คอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2009” เชื่อว่าคงมีผู้อ่านที่เป็นผู้บริโภคสินค้าไอที ได้ไปเดินซื้อสินค้าราคาพิเศษในงานนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย หลายคนอาจได้โน้ตบุ๊คใหม่ล่าสุดพร้อมของแถม บางรายอาจได้รุ่นเก่าราคาถูกกลับบ้าน บางส่วนอาจได้อุปกรณ์เสริม อาทิ ฮาร์ดดิสก์พกพา กล้องดิจิตอล ติดไม้ติดมือกลับไป หรือบางคนแค่ไปเดินเป็นเพื่อนซื้อของ แต่กลายเป็นขาช้อปซื้อแหลกจนกระเป๋าฉีกเสียเองก็มี
การที่ผู้ผลิตค่ายไอทีต่างๆ งัดกลยุทธ์ในเรื่องของราคามาใช้กันเต็มที่ เรียกได้ว่าเป็นการลดราคาแบบ “โล๊ะสต็อก” จึงสอดรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ด้วยจำนวนผู้เข้าชมงานที่มากันคึกคักทะลุยอดที่ทางผู้จัดงานระบุว่ามีถึง 1 ล้านราย และมีมูลค่าการซื้อขายเงินสะพัดตลอด 4 วัน กว่า 3,000 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนคนมางานแล้วซื้อสินค้าถึง 85% (มา 100 คน ซื้อของ 85 คน)
อย่างไรก็ตาม จากที่ IT Digest ได้เกาะติด บรรยากาศในงานมาตลอดช่วง 3 วันสุดท้ายพบว่า งานนี้ มีทั้งคนซื้อกับคนขายที่สมหวัง และผิดหวัง เนื่องจากคนขายบางรายได้กำไรติดมือ บางรายขาดทุนเจ็บตัว โดยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น ความไม่พร้อมของตัวผู้ขายเอง อาทิ โปรโมชันไม่โดนใจ ไม่ลดราคาสินค้า หรือให้ของแถมที่คนไม่อยากได้ รวมทั้งสินค้าโปรโมชั่นมาไม่ทันขาย หรือ สินค้าหมดภายในเวลาเพียง 1-2 วันก่อนงานจบ ทำให้ลูกค้าหันไปซื้อของจากแบรนด์อื่นแทนก็มี
นายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป บริษัทเอ.อาร์.อินฟอเมชั่น แอนด์ พับลิเคชั่น จำกัด ให้ความเห็นเกี่ยวกับงานคร้งนี้ว่า พอใจกับภาพรวมการจัดงานคอมมาร์ตฯ ช่วงต้นปี 2552 ครั้งนี้ เนื่องจากสามารถช่วยให้ค่ายไอทีคู่ค้าทำยอดขายได้ตามเป้า และกระตุ้นกำลังซื้อสินค้าไอทีของผู้บริโภคได้อย่างคึกคัก เพิ่มสีสันให้ตลาดไอทีต้นปี ทั้งนี้เป็นผลมาจากโปรโมชันสินค้าที่ราคาถูกสุดๆ แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งโน้ตบุ๊ค จอแอลซีดีมอนิเตอร์ และทีวี พรินเตอร์ กล้องดิจิตอล และอุปกรณ์เสริมต่างๆ โดยน่าจะเป็นผลมาจากการทำกิจกรรมการตลาด และประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้าในงาน
นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงค์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บ.เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ให้ความเห็นถึงภาพรวมงานคอมมาร์ตฯ ครั้งล่าสุดว่า เอเซอร์งานสามารถขายโน้ตบุ๊คในงานได้มากกว่าคอมมาร์ตต้นปี 2551 ที่ 15,000 เครื่องอยู่ประมาณ 15% ทำให้เชื่อว่าตลาดไอทีจะกลับมาคึกคักได้ หลังจากซบเซาไปตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 4 ปีก่อน ด้วยปัจจัยหลัก ได้แก่ ราคาสินค้าที่ถูกลง 10-15% มีรุ่นให้เลือกมากขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้งานไม่ได้ลดลงตามไปด้วย โดยแม้จะมีการจัดโปรโมชันราคาถูก แต่รุ่นที่ขายดียังอยู่ที่ระดับราคา 20,000 บาท แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อ และคาดหวังกับงานนี้จริงๆ
ผจก.อาวุโสฝ่ายการตลาด บ.เอเซอร์ฯ อธิบายอีกว่า งานนี้ น่าจะเป็นจุดวัดอันหนึ่งของตลาดไอทีไตรมาสที่ 1 ว่ากำลังซื้อไม่ได้หายไปอย่างที่คิด ไม่ได้ซบเซาเหมือนกับอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่การที่เอเซอร์ขายดีอาจเป็นเพราะตลาดโตขึ้น หรือไปกินส่วนแบ่งตลาดของรายอื่นคงยังตอบไม่ได้ เพราะโปรโมชันของทุกเรายดีเหมือนกัน สามารถดึงเงินออกจากกระเป๋าผู้บริโภคได้ อีกทั้งตลาดสินค้าไอทีมีการปรับตัวรับกับสภาพเศรษฐกิจได้เร็ว อย่างไรก็ตาม แม้เอเซอร์จะกัดฟันทำโปรโมชันโน้ตบุ๊คต่ำกว่าทุน แต่ก็ไม่ได้เจ็บตัวนัก ยังมีกำไรจากการขายรุ่นอื่นๆ อยู่ หลังจากคอมมาร์ต บางโปรโมชันจะยังใช้กับการขายตามหน้าร้านปกติด้วย เพื่อรักษาความต้องการซื้อเอาไว้
ด้าน นายถกล นิยมไทย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายธุรกิจเทคโนโลยี บริษัทโตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่างถึงภาพรวมหลังงานคอมมาร์ตฯ ว่า ภาพรวมของโตชิบาหลังจบงานฯ เมื่อเทียบกับงานเดียวกันเมื่อปีก่อน ขายดีขึ้นกว่า 30-40% โดยปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจากโปรโมชันที่ดี และผลิตภัณฑ์ตรงใจลูกค้า ไม่ใช่มีแค่โปรโมชันแค่เงินผ่อนดอกเบื้ย 0% แต่มีสินค้าราคาถูกมาก อาทิ โน้ตบุ๊คเริ่มต้นราคาที่ 15,900 บาท หรือ เน็ตบุ๊คราคาเพียง 14,900 บาท แต่สินค้าขายดีจะเป็นระดับราคา 25,000 บาทขึ้นไป และโน้ตบุ๊คที่เป็นแบบไฮเอนด์ราคาเกิน 120,000 บาท ยังมีคนมาซื้อ เพราะมีคุณสมบัติครบตามที่ลูกค้าต้องการ
ผจก.ประจำประเทศไทยฯ บ.โตชิบาฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ลูกค้าใช้เวลาติดสินใจไม่นานนัก คนขายหน้าบูธก็ปิดการขายง่าย อีกทั้งโตชิบาเอาจริงกับงานครั้งนี้ เพราะได้เพิ่มพื้นที่การขายเป็น 2 เท่าจากครั้งที่แล้ว อีกทั้งยังดึงตัวแทนจำหน่ายจากต่างจังหวัดมา 10 ร้าน เพื่อฝึกให้มีความชำนาญในการขาย โน้ตบุ๊คบางรุ่นของหมดต้องเอารุ่นอื่นมาปรับราคาลงเพื่อขายแทน จากผลตอบรับในงานนี้ทำให้เชื่อว่าตลาดไอทีคงไม่หดตัว แต่จะทรงตัวเพราะจำนวนที่ขายได้เพิ่มขึ้น แต่มูลค่าตลาดจะลดลง 10% อย่างไรก็ตามโตชิบาจะยังใช้ราคาในงานคอมมาร์ตฯ ขายในช่องทางปกติต่อไป เพื่อรักษาความต้องการในตลาดเอาไว้
ส่วน นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัทอัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นถึงภาพรวมในงานคอมมาร์ตฯ ว่า งานนี้คนมาเดินมากจริง แต่น้อยกว่างานเมื่อช่วงปลายปี 2551 ยอดขายสินค้าในงานไม่ได้หวือหวาจากเดิมมากนัก เพราะบางวัน เช่น วันศุกร์ที่ 20 มี.ค.มีฝนตกหนัก ทำให้คนที่มาเดินงานเงียบจนน่าใจหาย ส่งผลให้ยอดซื้อกลับมาไม่มากเท่าที่ควร แม้แต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีอุปสรรคคนเข้ามาซื้อของได้ไม่ตลอด เช่น โรงงานยาสูบปิดประตูเข้า-ออก คนเข้างานไม่ได้ เมื่อรวมกับการที่งานไอทีจัดหลายครั้งใน 1 ปี ดังนั้น คนจึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับงานต้นปี แต่จะไปคึกคักมากที่สุดช่วงปลายปี
กก.ผจก.บริษัทอัสซุสฯ อธิบายเสริมว่า บางแบรนด์ที่ขายดีอาจเป็นในแง่จำนวนเครื่อง แต่ต้องมองไปที่มูลค่าการขายด้วย ส่วนอุปกรณ์เสริมต่างๆ ยังมีคนซื้อเรื่อยๆ ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ที่น่าแปลกใจ คือ ผู้บริโภคซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์มากขึ้น เช่น เมนบอร์ด ฮาร์ดดิสก์ แรม หรือกราฟฟิคการ์ด เพื่อเอาไปทำคอมพิวเตอร์ประกอบ แม้แต่รายอื่นก็ขายดีเช่นกัน เนื่องจากลูกค้าใช้งบประมาณเพียงหมื่นกว่าบาท ก็ทำมีเดียเซ็นเตอร์ที่เล่นบลูเรย์ดิสก์เพื่อใช้ในบ้านได้แล้ว เชื่อว่าตลาดไอทีปีนี้ยังทรงตัวได้ ต้องยอมรับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี เพราะไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ ที่ขายไม่ดี ต่างจังหวัดที่จัดโปรโมชันพร้อมกันก็ขายไม่ดีเหมือนกัน
ภาพรวมงานคอมมาร์ตฯ ที่ผ่านพ้นไปไม่นานมานี้ ได้สะท้อนภาพรวมของธุรกิจไอทีของประเทศไทยส่วนหนึ่ง ให้เห็นถึงความต้องการของคนไทยที่อยากใช้เทคโนโลยีมีสูงมาก เพียงแต่ชะลอการตัดสินใจ และเลือกซื้อสินค้าที่คุ้มค่าเงินมากที่สุด คือ ซื้อแล้วต้องได้ราคาดีกว่าตามท้องตลาด 10-15% และต้องมีของแถมติดมือไปด้วย จึงจะตัดสินใจรับมาพิจารณา รวมถึงการเลือกเน้นเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ตอบความต้องการจริงๆ จึงจะยอมจ่ายเงิน พอซื้อเสร็จแล้วกลับบ้านทันที ไม่อยู่เดินเล่นต่อ เพราะกลัวเสียเงินซื้อของในงานอีก
มองจากมุมผู้บริโภคนับว่ายังเป็นโอกาสดี ในการหาคอมพิวเตอร์ดีๆ ราคาประหยัดไว้ใช้งาน อีกทั้งได้ประโยชน์จากโปรโมชันที่เรียกได้ว่า ทุกค่ายยกทัพมาสู้กันแบบถึงพริกถึงขิง เปลี่ยนราคาได้ตลอดทุกชั่วโมง หากคู่แข่งเปลี่ยนกลยุทธ์การขาย เพื่อเรียกลูกค้ามาเข้าบูธ คนที่มางานก่อนซื้อก่อนได้ใช้ก่อน คนมาทีหลังสินค้าหมดต้องเดินคอตกกลับบ้าน หรือโชคดีอาจได้รุ่นอื่นที่ดีกว่าในราคาเท่ากัน ขึ้นอยู่ที่จะต่อรองกับคนขายได้มากแค่ไหน แต่ถ้าจะถามว่ายังขายได้ตลอดปี หรือจะมีเงินมาซื้อได้อีกหรือไม่ คงต้องจับตาดูอีกที เพราะงานแบบนี้หาความแน่นอนไม่ได้เลย...
จุลดิส รัตนคำแปง
itdigest@thairath.co.th
ที่มา: thairath.co.th