Author Topic: “อาร์เอส” ลงดาบ “ฟิล์ม” แบนงานทุกอย่าง แนะตรวจดีเอ็นเอถ้าใช่ลูกไม่รับ ควรถูกประณามไม่ใช่  (Read 962 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai



“อาร์เอส” แถลงเชือด “ฟิล์ม” ทำ “แอนนี่” ท้องจนมีลูก สั่งแบนงานทุกอย่างเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้นักร้องหนุ่มได้เคลียร์ตัวเอง เผย "ฟิล์ม" โทรมาร้องไห้ฟูมฟายขอโทษ แนะให้ตรวจดีเอ็นเอ เพื่อความจริงจะได้ปกป้องทุกคน ถ้าใช่ให้แสดงความรับผิดชอบ ไม่งั้นควรถูกประณามไม่ใช่คน แต่ถ้ายังไม่ตรวจจะถูกแบนงานยาวไม่มีกำหนด เปรยเห็นใจ "แอนนี่" แนะให้เดินหาความจริง ถ้าปล่อยให้เรื่องคาราคาซังจะทำร้ายเด็ก
       
       เกี่ยวกับกรณีที่มีกระแสข่าวออกมาว่า นักร้อง-นักแสดงหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ทำดาราสาวเซ็กซี่ “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ท้องและมีลูกชายวัย 3 เดือน “ด.ช.ทีฆายุ แก้วไทรหาญ” ซึ่งก่อนหน้านี้นักร้องหนุ่มได้ประกาศขอตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งถ้าผลออกมาใช่ก็ยินดีรับผิดชอบและรับเป็นลูก ด้าน “แอนนี่” ได้อุ้มลูกน้อยมาร้องห่มร้องไห้ออกทีวี ยัน “ฟิล์ม” เป็นพ่อของลูกตน พร้อมลั่นไม่ให้ลูกตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากเคยขอให้นักร้องหนุ่มตรวจเมื่อตอนตั้งท้อง 4 เดือน เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย แต่ได้รับการปฏิเสธ และถูกอีกฝ่ายทำเมินไม่มาดูดำดูดีหรือให้เงินส่งเสีย อีกทั้งยังตั้งข้อแม้จะยอมให้ลูกตรวจดีเอ็นเอก็ได้ แต่นักร้องหนุ่มห้ามมาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อ และห้ามมายุ่งกับลูกตนอีก
       
       สำหรับความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา (20 ก.ย.) ทางประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอาร์เอส “เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนขึ้นที่บริษัทอาร์เอส ย่านลาดพร้าว 15 โดยบิ๊กบอสอาร์เอสได้เปิดฉากว่า เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน สิ่งสำคัญที่สุดคือมีเด็กเกิดขึ้นมา ดังนั้นในฐานะที่เป็นต้นสังกัดของนักร้องหนุ่มจึงจะขอแสดงความรับผิดชอบ โดยตั้งแต่วันนี้จะระงับผลงานของ “ฟิล์ม” ทุกอย่างแบบไม่มีกำหนด
       
       “จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลของทางคุณฟิล์มกับคุณแอนนี่ มันไม่ใช่เรื่องงานโดยตรงแต่อาจมีผลกระทบกับงานบ้าง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาร์เอสเองเป็นบริษัทที่ดูแลฟิล์มอยู่ เราก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ในมุมมองของเฮียเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก เรื่องราวจริงๆ เป็นเรื่องของคนสองคน ทั้งตัวเฮียเองและสื่อมวลชนเองคงไม่มีใครทราบข้อเท็จจริง ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวข้องกับชีวิตครอบครัวของทั้งคุณฟิล์ม และคุณแอนนี่ ที่สำคัญวันนี้มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาชีวิตหนึ่ง เลยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพิจารณากันด้วยความรอบคอบ เหตุและผล ไม่เอาเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก หรือกระแสเข้ามามีส่วนในการพิจารณา”
       
       “ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ที่เราได้ฟังข้อมูลทั้งสองฝ่าย ส่วนตัวเฮียเองก็จะมีข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากฟิล์มและแอนนี่ ก็จะเห็นว่ามันมีข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ส่วนตัวเฮียคิดว่ามันเลยตรงจุดนั้นมาแล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่มันเลยเถิดมาถึงวันนี้ ผมคิดว่าทำเรื่องวันนี้ให้มันดีที่สุดและถูกต้องดีกว่า การปล่อยเรื่องแบบนี้ไว้มันไม่เป็นผลดีกับใคร และเป็นการสร้างปมและเป็นการทำร้ายเด็กโดยไม่ควร บนความเชื่อของเฮียสุดท้ายแล้วความจริงคือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ความจริงจะปกป้องทุกคนที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้”
       
       “ในมุมของอาร์เอสหลังจากที่เฮียวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ วันนี้เรามีการตัดสินใจที่แน่นอนว่า อาร์เอสจะระงับงานของฟิล์มทุกชิ้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อให้ฟิล์มได้ใช้เวลาจากวันนี้ไปจัดการชีวิต จัดการปัญหาต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากัน”
       
       “ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องมาถึงวันนี้แล้ว อยากให้ทุกฝ่ายตัดเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก แล้วเดินหน้าเข้าหาความจริง แล้วความจริงมันจะปรากฏ ต่อหน้าสื่อผมว่ามันไม่มีใครบิดพลิ้วได้ ความจริงจะเป็นเรื่องที่ปกป้องคนที่เกี่ยวข้อง แล้วทางออกของเรื่องนี้ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน ส่วนตัวเราก็เข้าใจ เห็นใจทางคุณแอนนี่ ไม่ว่าจะอย่างไร ผลการตรวจจะเป็นอย่างไรเราก็ยินดีให้ความช่วยเหลือ แต่ก็อยากจะเรียนว่าเรื่องนี้มีทางออก ถ้าทุกฝ่ายตัดสินใจ มีความบริสุทธิ์ใจ และเข้ามาหาทางออกให้มันสมบูรณ์แบบ”
       
       ถามต่อว่าในเมื่อทางฝ่ายหญิงยืนยันไม่ตรวจดีเอ็นเอ จะทำอย่างไรต่อไป บิ๊กบอสอาร์เอสเผยว่า
       
       “ผมว่ามันเป็นประเด็นที่เขาต้องไปคุยกันเอง เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว เฮียคงไปบังคับใครไม่ได้ ในมุมมองของเราเรื่องมันเกิดจากคนสองคน ถ้าจะว่าผิดก็ผิดจากคนสองคน โอกาสที่จะทำให้ถูกก็มี อยู่ที่จะมีความบริสุทธิ์ใจเดินเข้ามาทำให้เรื่องนี้มันถูกต้องหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง วันนี้ทั้งเฮียเองและพวกเราทุกคนเองไม่รู้ใครพูดอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของคนสองคน ผมก็ไม่ได้บอกว่าใครพูดถูกหรือผิด แล้วเรื่องราวมันเลยเถิดมาถึงวันนี้ ต้องตัดเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกไป ทุกคนต้องเดินเข้ามาแล้วพิสูจน์ ความจริงจะปกป้องทุกคนที่เกี่ยวข้อง และไม่ควรจะมีใครปฏิเสธความจริง แล้วอยากจะหนีความจริง”
       
       “ซึ่งถ้าคุณแอนนี่ยังยืนยันไม่ตรวจ เราก็ต้องระงับงานของฟิล์มยาว ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องของทางอาร์เอสที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย มันเป็นเรื่องส่วนตัว เราก็แค่แนะนำให้ตรวจดีเอ็นเอ และไม่ได้มีการติดต่อฝ่ายหญิงใดๆ เพื่อทำให้เรื่องมันจบ อย่างที่บอกมันเป็นเรื่องส่วนตัว เฮียคงให้เพียงคำปรึกษากับฟิล์มและคุณแม่เขา”
       
       รับคิดหนักก่อนตัดสินใจแบน “ฟิล์ม” ทั้งยังเผยนักร้องหนุ่มโทรมาร้องไห้ฟูมฟายขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น
       
       “ถามว่าหนักใจไหมที่ตัดสินใจแบบนี้ ก็หนักใจ เฮียใช้เวลาในการคิดและตัดสินใจ 2 วัน เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ พอเราแจ้งฟิล์มไปว่าจะระงับงานเขา เขาก็น้อมรับในคำตัดสินของเฮีย ผมคิดว่าเขาอยู่ในอาการเครียด ผมเลยบอกเขาไปแค่นี้ คือช่วง 4-5 วันที่ผ่านมาฟิล์มมีการติดต่อกับเฮียเป็นระยะ วันแรกคือวันที่มีเรื่อง คือต้องบอกว่าปกติเฮียไม่ค่อยได้เจอกับศิลปินในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นใครอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มีอะไรมาปรึกษากัน แต่กรณีของฟิล์มวันที่เป็นข่าว ก่อนแถลงข่าว 1 วันฟิล์มก็เข้ามาปรึกษาหารือ เฮียก็ให้คำแนะนำไปว่า ง่ายๆ มีความจริงอะไรก็พูดกับพี่ๆ สื่อมวลชน เป็นผู้ชายกล้าทำกล้ารับ รุ่งเช้าฟิล์มก็ให้การแถลงข่าวเป็นไปตามที่เฮียแนะนำ”
       
       “วันที่ 2 หลังจากทางคุณแอนนี่ออกมาให้สัมภาษณ์ ตอนเย็นฟิล์มก็โทรมาหาผมอีก บอกว่าข้อมูลหลายอย่างไม่ตรง บางอย่างก็มีหลักฐานยืนยันว่าไม่ตรง ผมบอกอันนั้นไม่สำคัญแล้ว ผมขอเวลาหาข้อมูลแล้วพิจารณาตัดสินใจอีกทีหนึ่ง แล้วฟิล์มก็โทรหาอีกทีสักตอนประมาณ 5 ทุ่มในคืนวันศุกร์ ผมคิดว่าเขาคงเครียดมาก เขาร้องไห้ฟูมฟายเป็นเวลานานพอสมควร ขอโทษเฮียเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมก็ให้กำลังใจเขาไปว่า อย่างที่เฮียเคยพูด...ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ายอมรับ ก็รอดูว่าเรื่องเป็นอย่างไร แล้วผลจะเป็นอย่างไร”
       
       แจงงานของนักร้องหนุ่มที่โดนแบน ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แต่กระทบต่อแผนงานที่ได้วางกันไว้
       
       “ดังนั้นเรื่องแบนฟิล์มยังไม่มีกำหนดว่าจะเลิกเมื่อไหร่ ถามว่ามันมีผลกระทบในเชิงธุรกิจไหม กระทบทันทีคงกระทบเรื่องแผนงานที่เราวางไว้ วันนี้งานของฟิล์มที่จะมีหลักๆ เลย ก็จะมีเพลงชุดใหม่ “Face 2 Face” (เฟส ทู เฟส) ที่ฟีเจอริ่งกับ เจอา จากวงบราวน์ อายด์ เกิร์ล (JEA - Brown Eyed Girls) จากเกาหลี จริงๆ เรามีแผนจะปล่อยมิวสิควิดีโอในสัปดาห์นี้ ก็ยกเลิกไปไม่มีกำหนด ซึ่งตรงนี้ไม่เกี่ยวกับว่าทางเกาหลีจะเข้มเรื่องภาพลักษณ์ของนักร้องที่มาทำงานร่วม นี่เป็นเรื่องการตัดสินใจของอาร์เอสเอง ไม่มีตัวแปรมาเกี่ยวข้อง”
       
       “ส่วนภาพยนตร์เรื่อง บางกอกกังฟู ก็เปิดกล้องไปสัปดาห์ที่แล้วก็มีคำสั่งให้ระงับคิวของฟิล์มทั้งหมด ณ วันนี้คือหยุดการถ่ายทำ แล้วเราจะดูว่าเหตุการณ์จากนี้ไปฟิล์มจะทำตัวอย่างไร ซึ่งเรื่องการเปลี่ยนตัวก็อยู่ในความคิดเหมือนกัน ส่วนงานเอเชียซองส์ที่เกาหลีก็มีการสั่งระงับไว้ก่อน งานหลักๆ ของฟิล์มก็มี 3 งานในช่วงนี้ ซึ่งความเสียหายในเชิงธุรกิจวันนี้ยังเสียหายไม่มาก แต่อาจจะเสียโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น ที่เราได้วางแผนกันไว้”
       
       ลั่นไม่ฉีกสัญญาที่ยังเหลือของ “ฟิล์ม” พร้อมเผยได้บอกนักร้องหนุ่ม ถ้าพิสูจน์แล้วใช่ลูกแต่ไม่รับผิดชอบก็ไม่ใช่คน ส่วนอนาคตในวงการบันเทิงของอีกฝ่าย ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง
       
       “ไม่ครับเพราะไม่เกี่ยว คือผมอยากจะเรียนว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่นักร้องหรือศิลปินมีลูก หรือมีครอบครัวไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าปัจจุบันเราเห็นศิลปิน-ดารามีลูกมีครอบครัวเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายแล้วประชาชนจะเป็นคนตอบเองว่า เขาจะให้ความสนับสนุนศิลปินคนนั้นไหม แล้วประเด็นนี้ก็ต้องเรียนว่าในมุมมองของเฮียมองว่า ในการคบกันสั้นๆ หรือคบกันนานๆ หรือคบแบบแฟนหรือไม่ใช่แฟนไม่ใช่ประเด็น”
       
       “ประเด็นคือวันนี้มีเด็กเกิดขึ้นมาคนหนึ่ง เด็กคนนี้ใช่ลูกฟิล์มหรือเปล่า ถ้าใช่ลูกฟิล์มผมว่าเขาก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่ก็ว่ากันไป เฮียก็พูดกับฟิล์มด้วยว่า ผู้ชายคนหนึ่งถ้ามีส่วนทำให้เด็กคนหนึ่งเกิดมาก็ต้องคิด เพราะการที่เรามีส่วนแล้วถ้าไม่มีความรับผิดชอบ ผมว่าก็เป็นคนไม่ได้ น่าจะประณาม ในทางกลับกันเราก็ต้องเห็นใจว่า ผู้ชายคนหนึ่งถ้าต้องรับเรื่องเหล่านี้ โดยที่ยังมีอะไรค้างคาอยู่ ผมว่ามันก็ตกนรกทั้งเป็น ฉะนั้นผมว่าเรื่องวันนี้มันง่ายนิดเดียว ถ้าพิสูจน์แล้วเด็กคนนี้เป็นลูกฟิล์ม ในมุมมองผมเขาก็ต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องในอนาคตในวงการบันเทิงผมว่า ประชาชนจะเป็นคนตัดสินใจเองว่า เขาจะต้อนรับไหม”
       
       “โอกาสที่ฟิล์มจะกลับมาในวงการ ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังตอบไม่ได้ ฟิล์มกับอาร์เอสผมว่าเรื่องสัญญาไม่ใช่ประเด็น ต้องบอกว่าฟิล์มเหมือนลูกเฮีย แล้วจริงๆ นักร้องทุกคนในอาร์เอสเฮียก็ดูแลเหมือนลูก ทำดีก็ชม ทำไม่ดีก็ติ แนะนำได้ก็แนะนำ ทำผิดก็ต้องตีเป็นธรรมดา”
       
       “สำหรับผมมองว่าเรื่องนี้คงไม่ยาว ก็ต้องเรียนตามตรงว่าเรื่องมาถึงวันนี้ก็น่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นผมคิดว่ามันมีทางออก อยู่ที่ทั้งสองคนจะมีความบริสุทธิ์ใจ มีความจริงใจเข้ามาหรือเปล่า ง่ายนิดเดียว อย่างที่บอกความจริงจะปกป้องทุกคน อย่ากลัวความจริง เดินเข้าหาความจริง หนีความจริงไปไม่ได้ และอยากฝากสื่อว่าเรามองด้วยเหตุและผล อย่าใช้กระแส อย่าใช้ความรู้สึก อันนี้อันตรายมาก จริงๆ การปล่อยไว้อย่างนี้สุดท้ายคนที่รับผลเป็นเด็ก ปล่อยเรื่องนี้คาอยู่ในใจโตไปกับเด็กไม่ได้”
       
       อย่างไรก็ตามด้าน "แอนนี่ บรู๊ค" ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า หลังทราบคำแถลงข่าวของ "เฮียฮ้อ" เจ้าตัวยังคงยืนยันกระต่ายขาเดียวว่า จะไม่มีการตรวจดีเอ็นเอ พร้อมยอมรับมีหลายรายการพยายามติดต่อให้เธอไปออก แต่ต้องปฏิเสธเพราะได้พูดทุกอย่างเคลียร์ชัดไปหมดแล้วเมื่อวันออกรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" เมื่อวันก่อน ส่วนการถูกทาบให้เขียนหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กแฉ "ฟิล์ม" และจะได้รับค่าตอบแทน 1 แสนบาทนั้น "แอนนี่" ยอมรับมีการติดต่อมาจริง และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)