น่าเป็นห่วงกับดินฟ้าอากาศในช่วงนี้เมื่อสองเดือนก่อนเรายังหวาดวิตกกันว่าน้ำจะแห้งเขื่อนมาวันนี้น้ำทำท่าจะล้นเขื่อน ผู้คนที่อยู่อาศัยใกล้แม่น้ำลำคลองต้องเตรียมตัวเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่วันนี้ แม่น้ำหลายสายน้ำเริ่มปริ่มขอบตลิ่งกันแล้ว
คนมีรถจอดรถต้องดูทิศทางคำนวณระดับน้ำกันให้ดี แต่ถ้าเกิดฉุกเฉินน้ำไหลบ่าเข้าท่วมรถที่จอดไว้ ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้น ถ้าหากบังเอิญเกิดน้ำไหลบ่าท่วมตัวรถ ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจรีบลากรถเข้าอู่ซ่อม อาจจะทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กด้วยการตรวจสอบด้วยตนเองที่ไม่ยุ่งยากมากนัก
เมื่อน้ำลดจนอยู่ในภาวะปกติแล้วงานแรกที่ควรจะทำคือเปิดฝากระโปรงรถถอดแบตเตอรี่ออกตากแห้งทำความสะอาดเพราะจะเป็นการตัดวงจรไฟฟ้าทั้งในรถทั้งคัน ต่อมาก็ถอดเบาะถอดพรมและส่วนประกอบอื่นใดที่ถูกแช่น้ำเช่นแผงประตู ยางอะไหล่ ที่รองพื้นในห้องสัมภาระท้ายรถ ทำความสะอาดตากแดดทิ้งไว้ แล้วไปเริ่มที่เครื่องยนต์น้ำหนักกว่าน้ำมันเมื่อเข้าไปอยู่ในเครื่อง เหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวบ่งบอกว่าน้ำเข้าไปมากน้อย ถ้าระดับน้ำมันเครื่องสูงกว่าปกติมาก ไม่ต้องตกใจ มุดไปใต้ห้องเครื่องคลายเกลียวนอตถ่ายน้ำมันเครื่อง คลายเพียงหลวมๆ ถ้ามีน้ำ น้ำจะไหลออกมาก่อน ปล่อยให้น้ำไหลจนหมดน้ำมันเครื่องจะตามออกมานิดหน่อย แล้วจึงปิดนอตถ่ายน้ำมันเครื่องขันนอตให้แน่น
ทำอย่างเดียวกันที่ห้องเกียร์และเฟืองท้าย ในเกียร์ธรรมดาและเฟืองท้ายจะไม่มีเหล็กวัดระดับ ตรวจสอบว่าน้ำเข้าหรือไม่ก็จากนอตถ่ายน้ำมันคลายออกมาหลวมทำเช่นเดียวกับห้องเครื่อง รวมทั้งถังน้ำมันเชื้อเพลิงก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อแน่ใจแล้วว่าน้ำไหลออกหมดแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนติดเครื่อง ตรวจดูกรองอากาศ ถอดออกมาทั้งยวง กรองอากาศเปียกเพราะน้ำเข้าทิ้งไว้ก่อน รุ่นที่ใช้เครื่องดีเซลมีอินเตอร์คูลถอดออกทั้งยวงเช่นเดียวกัน เอาน้ำออกจากตัวอินเตอร์คูลและท่อทั้งหมดจะด้วยลมเป่าหรือคว่ำให้น้ำออกทิ้งไว้จนแน่ใจว่าหมดน้ำ เครื่องเบนซิน ต้องถอดหัวเทียนออกให้หมด แต่ก่อนถอดต้องแน่ใจว่าไม่มีน้ำขังอยู่ตามซอกตามมุมในชิ้นส่วนต่างๆ ใช้ลมเป่าไปที่เบ้าหัวเทียนไล่น้ำออกให้หมดแล้วจึงถอดหัวเทียน
ตรวจดูแผงฟิวส์ตัวฟิวส์ กล่องรีเลย์ต่างๆ รวมทั้งกล่องอีซียู ถอดให้หมด ตากแดดทิ้งไว้ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียง่ายๆ ตรวจดูปลั๊กไฟทั้งหมด ลมเป่าทำความสะอาดให้แห้ง มีสเปรย์ไล่ความชื้นก็ฉีดทิ้งไว้ กล่องอีซียู รีเลย์หรือกล่องควบคุมอุปกรณ์ระบบต่างๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อรถจมน้ำลากเข้าหาช่าง ช่างมักจะบอกว่าเสียเพราะไฟชอร์จหมดแล้ว ความจริงเปล่าเลย น้ำเข้าจริงทำให้เปียกให้ชื้นก็แค่นั้น แกะฝากล่องออก (ต้องประณีตนิดหน่อย) ถ้ามีน้ำก็ใช้ลมเป่า ถ้าชื้นก็ตากแดดทิ้งไว้จนแห้ง
ช่วงเวลาที่ทิ้งให้ชิ้นส่วนที่ถอดออกแห้งสนิทจะไปตรวจทำส่วนอื่นๆ อีกก็ได้ เช่นโคมไฟหน้าเลนส์ไฟท้าย ถ้ายังไม่พร้อมที่จะทำก็ปล่อยทิ้งไว้ก่อน เบาะนั่งพรมปูพื้นยังไม่ต้องรีบใส่แม้ส่วนอื่นจะแห้งดีแล้ว เปิดประตูทุกบานเข็นรถเข้าหาแสงแดดให้แผงหน้าปัดรับแดดให้เต็มที่ไล่ความชื้นตามแผงหน้าปัด อย่าเพิ่งห่วงเครื่องทำความบันเทิง เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างแห้งสนิทดีแล้ว ใส่ทุกอย่างที่ถอดออกจากในห้องเครื่องเข้าที่ให้หมด ยกเว้นหัวเทียน (เครื่องดีเซลก็ทำเช่นเดียวกันเปลี่ยนจากหัวเทียนเป็นหัวฉีด) ตรวจแบตเตอรี่ดูระดับน้ำกลั่นถ้าสูงจนล้นเพราะน้ำเข้าอย่าคว่ำหม้อเทน้ำกรดออกโดยเด็ดขาด เพราะทำอย่างแบตจะเสียอย่างถาวร ถ้าระดับน้ำกลั่นสูงกว่าปกติมากจนปริ่มฝาปิดดูดออกจนระดับเท่าปกติ (คงเข้าใจนะว่าไม่ใช้ปากดูดเพราะนั่นคือน้ำกรด) ถ้ามีมาตรวัดไฟฟ้าก็วัดว่าไฟมีหรือไม่ถ้าไม่มีมาตรวัดตรวจเช็กแบบช่างบ้านนอกสายไฟเส้นใหญ่เท่าที่หาได้ยาวเท่ากับแบตเตอรี่เส้นหนึ่ง ปลายเส้นหนึ่งกดให้แน่นที่ขั้วบวก ปลายอีกเส้นขีดผ่าน (ลากผ่าน) เร็วที่ขั้วลบ ถ้ามีประกายไฟออกที่ปลายสายที่ขีดผ่านก็แสดงว่ามีไฟ
ยกแบตเตอรี่เข้าที่ก่อนใส่ขั้วแบตเตอรี่ดื่มน้ำสักขวดทบทวนสิ่งที่ทำลงไปหลงลืมพลั้งเผลออะไรบ้างหรือไม่ ใส่ขั้วแบตเตอรี่ เสียบกุญแจ บิดกุญแจไปจังหวะแรก (ที่เปิดตรวจมาตรวัดต่างๆ ก่อนสตาร์ท) เกย์ตัวไหนทำงานไม่ทำงานอย่าเพิ่งไปสนใจ เปิดสวิตช์คาไว้อย่างนั้น เดินมาที่หน้าห้องเครื่องมีควันมีความร้อนอะไรเกิดขึ้นจากการใช้ไฟจากแบตหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีทุกอย่างปกติดี บิดกุญแจปิด เดินมาที่ตรงเบ้าหัวเทียนมีสิ่งกีดขวางอะไรหรือไม่เพราะตอนนี้ยังไม่ใส่หัวเทียน เมื่อเรียบร้อยสตาร์ทเครื่องควรจะเป็นอีกคนหนึ่งที่บิดกุญแจ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นคอยดูที่รูหัวเทียนเมื่อเครื่องหมุนถ้ามีน้ำจะถูกพ่นออกมาทางรูหัวเทียนสตาร์ทต่อไปจนแน่ใจว่าน้ำหมด ต่อไปก็ใส่หัวเทียนเข้าที่ มีสิ่งศักด์สิทธิ์ที่จะบนบานศาลกล่าวก็ทำซะ แล้วสตาร์ทเครื่อง
เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่และสึนามิ ผมใช้วิธีเดียวกันนี้ช่วยประหยัดให้ลูกค้าคันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 2 หมื่น ลองดูครับแล้วคุณจะเสียเงินน้อยกว่าที่คาด
ที่มา คมชัดลึก