ไทยคมยันไม่มีปัญหากับกระทรวงไอซีทีจากการเจรจาทำให้เข้าใจกันมากขึ้น ทำงานแบบพาร์ตเนอร์ ทุกอย่างเดินตามสัญญาถูกต้อง อย่ามองจุดเดียวต้องมองภาพกว้าง ตัดพ้อการเมืองอย่าบีบให้ทำผิดกฎหมายอย่างกรณีสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ป ด้านไอซีทีจะเรียกทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมายเข้าไปหารือเรี่องการตรวจสอบสัญญาสัมปทาน เพื่อเดินหน้าสรุปผลการตรวจสอบสัญญาที่คณะกรรมการมาตรา 22 และคณะทำงานคู่ขนาน หลังจากศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ “แม้ว”
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท ไทยคม กล่าวว่า หลังเข้าหารือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีทีแล้ว ทำให้เข้าใจในการดำเนินกิจการกันมากขึ้น และไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการเกี่ยวกับ 3 ประเด็นหลักตามที่คณะกรรมการมาตรา 22 ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน หากต้องการจะเจรจาบริษัทมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่ถ้ามีการปรับเปลี่ยนแก้ไขหมดก็จะมีปัญหาตามมา อย่างกรณีการถือหุ้นของชิน คอร์ปอเรชั่นจำนวน 40% ถ้าจะให้กับไปถือ 51% สามารถทำได้ แต่ก็จะตีความว่าชินคอร์ปเป็นบริษัทต่างชาติ ซึ่งตามกฎหมายต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% เป็นต้น หรืออย่างดาวเทียมไอพีสตาร์ หากให้ยกเลิกการให้บริการ แล้วยิงดาวเทียมดวงใหม่ ต้องเสียเงินประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐใครจะรับผิดชอบ
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นวิถีทางการเมืองขอยืนยันว่าเราไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่การเมืองพยายามดึงเข้าไปเกี่ยว และการบริหารงานในกระทรวงไอซีทีมีการรมว.บ่อยมาก พอคนใหม่มาก็ศึกษากันใหม่ อยากให้มองภาพกว้างๆ มากกว่า อย่างเราดูภาพแวนโก๊ะส่องแค่จุดเดียวดูยังไงก็ไม่สวย แต่ต้องถอยออกมาดูภาพกว้างๆ”
ทั้งนี้ ผลสรุปจากคณะกรรมการมาตร 22 ระบุให้ไทยคมแก้ไขสัญญาใน 3 ข้อคือ 1. ให้ไทยคมคืนเงินประกันค่าสินไหมจำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 200 ล้านบาท ที่ได้จากกรณีที่ดาวเทียมไทยคม 3 เสียหายและต้องปลดระวางก่อนกำหนดมาให้ไอซีที 2.ไทยคมจะต้องมีการยิงดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ขึ้นสู่วงโคจร เนื่องจากไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ที่ตีความว่าไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 แต่เป็นดาวเทียมดวงใหม่ ที่ยิงสู่วงโคจรนอกสัมปทาน
ส่วนประเด็นสุดท้าย กรณีชินคอร์ปลดสัดส่วนถือหุ้นในไทยคมจาก 51% เหลือ 40% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. นั้น คณะกรรมการมาตร 22 ได้สรุปว่า ชินคอร์ปจะต้องกลับไปถือครองหุ้นในสัดส่วนเท่าเดิมคือ 51% ทั้งนี้ ประเด็นการแก้ไขดังกล่าวหากผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีไอซีที จะมีการนำเสนอครม.ต่อไป
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 17 ส.ค.จะเรียกทีมที่ปรึกษาด้านกฎหมายเข้าไปหารือเรี่องการตรวจสอบสัญญาสัมปทานดาวเทียม และสัญญาสัปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อหารือเดินหน้าสรุปผลการตรวจสอบสัญญาที่คณะกรรมการมาตรา 22 ตามพ.ร.บ.ร่วมทุน และคณะทำงานคู่ขนานที่แต่งตั้งขึ้น ภายหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ในคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่รับอุทธรณ์ ในคดีดังกล่าว
สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมายังไม่ได้มีการพิจารณานำดาวเทียมไทยคม2 ที่จะหมดอายุในเร็วๆ นี้ไปไว้ในตำแหน่งวงโคจร 50.5 องศาตะวันออก เพื่อรักษาวงโคจรดังกล่าวซึ่งจะหมดอายุในปลายปีนี้ไว้ เนื่องจากครม.มอบหมายให้สำนักเลขาธิการครม.พิจาณาประเด็นในแง่กฎหมาย ด้านอื่นให้รอบคอบอีกครั้งก่อนนำเสนอต่อครม.รับทราบในวันจันทร์ 16 ส.ค.นี้
อย่างไรก็ดีในการประชุมครม.ที่ผ่านมา ไอซีที ได้รายงานต่อครม.ให้รับทราบว่าได้ต่ออายุการเป็นสมาชิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU เรียบร้อยแล้ว และได้รายงานด้วยว่าการแข่งขันของประเทศสมาชิกมีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มขึ้น ดั้งนั้น ไอซีทีจึงขอให้กระทรวงต่างประเทศมาเป็นเจ้าภาพร่วม รวมทั้งได้ขอความร่วมมือจากนายกรัฐมนตรีเข้ามาช่วยด้วย
** ไอพีสตาร์สร้างรายได้โต 19.5% **
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกไทยคมมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 3,430 ล้านบาท เป็นรายได้จากการให้บริการดาวเทียมและธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ 9.1% และธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อโต 26.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552โดยไทยคม 4 สามารถสร้างรายโต 19.5% คิดเป็นมูลค่า 1,199 ล้านบาทขณะที่การให้บริการไทยคม 2 และ 5 รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องจำนวน 1,154 ล้านบาท ทั้งนี้ จากงบการเงินรวมไทยคมขาดทุนสุทธิ 151 ล้านบาท เนื่องจากความผันผวนของอัตราการแลกเปลี่ยนเงิน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 533 ล้านบาท
** ซีเอสแอลครึ่งปีกำไร182ล้าน**
ขณะที่ซีเอส ล็อกอินโฟ หรือซีเอสแอลมีกำไรสุทธิรวมสำหรับไตรมาสที่ 2/2553 จำนวน 96 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรรวมครึ่งปีแรก 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45 ล้านบาท หรือ 33% จากครึ่งปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจอินเทอร์เน็ตและธุรกิจการให้บริการข้อมูลด้วยเสียงทางโทรศัพท์และบริการเสริมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ประกอบกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรกของงบการเงินเฉพาะกิจการ มีกำไรสุทธิจำนวน 161 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจโฆษณาสมุดหน้าเหลือง มีกำไรลดลง 19 ล้านบาทจากปีก่อน เนื่องจากการลดลงของยอดโฆษณาสมุดหน้าเหลืองฉบับกรุงเทพ ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของสภาพเศรษฐกิจในปีก่อน ดังนั้น เพื่อชดเชยยอดขายโฆษณาที่ลดลง บริษัทจึงมุ่งเน้นการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นตลาด Consumer และ Vertical Directories ตามลักษณะการใช้งานและพื้นที่บริการ ตลอดจนส่งเสริมการให้บริการสมุดหน้าเหลืองแบบออนไลน์ทั้งทางอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถืออย่างต่อเนื่อง
Company Related Link :
Thaicom
ที่มา: manager.co.th