การให้อาหารสายยางมีกี่แบบ อะไรบ้าง?การให้อาหารทางสายยาง (Tube Feeding) หรือโภชนาการทางลำไส้ สามารถแบ่งประเภทได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้แบ่ง แต่โดยหลัก ๆ แล้วจะแบ่งตาม 1) ตำแหน่งที่สอดสาย และ 2) รูปแบบการให้อาหาร ค่ะ
1. 📍 การแบ่งตามตำแหน่งที่สอดสาย (By Tube Placement)
นี่คือการแบ่งตามตำแหน่งที่ปลายสายยางสิ้นสุดลงในร่างกายของผู้ป่วย:
ชนิดของสาย ตำแหน่งการสอดสาย ลักษณะการใช้งาน
1. Nasogastric Tube (NG Tube) สอดผ่าน จมูก เข้าสู่ กระเพาะอาหาร (Stomach) ระยะสั้น: ใช้เมื่อผู้ป่วยต้องการอาหารทางสายยางไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและนิยมใช้ชั่วคราว
2. Nasointestinal Tube (NI Tube) สอดผ่
าน จมูก เข้าสู่ ลำไส้เล็กส่วนต้น (Small Intestine/Jejunum) ใช้เมื่อผู้ป่วยมีปัญหาที่กระเพาะอาหาร (เช่น อาหารไม่ย่อย, มีอาการไหลย้อนกลับ, หรือเสี่ยงสำลักสูง)
3. Gastrostomy Tube (G-Tube หรือ PEG) สอดผ่าน ผนังหน้าท้อง (Abdominal Wall) ตรงเข้าสู่ กระเพาะอาหาร โดยตรง ระยะยาว: ใช้เมื่อผู้ป่วยต้องให้อาหารทางสายยางต่อเนื่องนานกว่า 4-6 สัปดาห์
4. Jejunostomy Tube (J-Tube) สอดผ่าน ผนังหน้าท้อง เข้าสู่ ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยตรง ระยะยาว: ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาที่ไม่สามารถให้อาหารเข้ากระเพาะอาหารได้เลย
2. ⏳ การแบ่งตามรูปแบบการให้อาหาร (By Feeding Method/Schedule)
รูปแบบการให้จะกำหนดโดยแพทย์หรือนักโภชนาการ ขึ้นอยู่กับสภาวะของระบบย่อยอาหารของผู้ป่วย:
2.1 การให้อาหารแบบเป็นรอบ/มื้อ (Intermittent or Bolus Feeding
ลักษณะ: เป็นการให้สารอาหารในปริมาณมากในแต่ละครั้ง (คล้ายการกินอาหารเป็นมื้อ) โดยใช้กระบอกฉีดยาปล่อยให้ไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง
ความถี่: ให้อาหารประมาณ 3–6 ครั้งต่อวัน
ข้อดี: สะดวกและเลียนแบบการรับประทานอาหารปกติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกในช่วงระหว่างมื้อ
ข้อควรระวัง: อาจเกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสียได้ง่าย หากให้อาหารเร็วเกินไป หรือผู้ป่วยมีปัญหาในการย่อยอาหารปริมาณมาก
2.2 การให้อาหารแบบต่อเนื่อง (Continuous Feeding)
ลักษณะ: เป็นการให้สารอาหารในอัตราที่ช้าและคงที่ตลอดเวลา (เช่น 8–24 ชั่วโมง) โดยใช้ ปั๊มให้อาหาร (Feeding Pump) หรือ ถุงให้อาหาร (Feeding Bag)
ความถี่: ให้อาหารต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งวัน
ข้อดี: ช่วยลดความเสี่ยงของการท้องอืด ท้องเสีย และการสำลัก (Aspiration) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตหรือทนต่อปริมาณอาหารเยอะ ๆ ไม่ได้
ข้อจำกัด: ผู้ป่วยต้องมีอุปกรณ์ติดตัวตลอดเวลา
2.3 การให้อาหารแบบวงจร (Cyclic Feeding)
ลักษณะ: เป็นการให้สารอาหารแบบต่อเนื่อง แต่จำกัดช่วงเวลาให้สั้นลง (เช่น 8–16 ชั่วโมงต่อวัน)
ความถี่: มักให้ในเวลากลางคืน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกายภาพบำบัดได้อย่างอิสระในเวลากลางวัน
ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังปรับตัวกลับไปทานอาหารทางปากได้บ้างแล้ว และต้องการเสริมสารอาหารเพิ่มเติมในช่วงเวลานอน