Author Topic: “Windows 7” ดันรายได้ไมโครซอฟท์พุ่ง  (Read 890 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศรายได้สุทธิพุ่งพรวดตลอดเดือนเมษายน-มิถุนายน 2010 ระบุว่าสามารถจำหน่ายไลเซนส์วินโดวส์เซเว่น (Windows 7) ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุดได้ถึง 175 ล้านไลเซนส์ ถือเป็นสัญญาณยอดเยี่ยมที่ชี้ว่าธุรกิจทั่วโลกกำลังหันมาลงทุนไอทีอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากหลายบริษัทหั่นงบประมาณตัวเองและหยุดการสั่งซื้อคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์มาระยะหนึ่ง
       
       นอกจากยอดจำหน่ายวินโดวส์เซเว่นที่สามารถโกยตัวเลขกระฉูดหลังการวางตลาดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ยังมีชุดโปรแกรมสร้างงานเอกสารออฟฟิศ 2010 (Office 2010) ที่มีส่วนช่วยผลักดันกำไรสุทธิของไมโครซอฟท์ให้เพิ่มขึ้นถึง 48% คิดเป็นมูลค่าถึง 4,520 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.53 แสนล้านบาท) คิดเป็น 51 เซ็นต์ต่อหุ้น จากเดิมที่เคยทำกำไรสุทธิ 3,050 ล้านเหรียญ (ราว 1.03 แสนล้านบาท) คิดเป็น 34 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2009
       
       ไมโครซอฟท์ระบุว่า สามารถทำรายได้รวม 16,040 ล้านเหรียญตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 22% จากเดิมที่เคยทำได้ 13,100 ล้านเหรียญเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไมโครซอฟท์สามารถทำรายได้มากกว่าคำพยากรณ์ของนานาบริษัทวิจัย ซึ่งเชื่อว่าไมโครซอฟท์จะมีรายได้รวม 15,300 ล้านเหรียญ กำไรสุทธิ 45 เซ็นต์ต่อหุ้น
       
       สื่อมวลชนอเมริกันตั้งข้อสังเกตว่า สัดส่วนเพิ่มขึ้นของรายได้ไมโครซอฟท์ 22% นั้นเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือพีซี โดยยอดจัดส่งคอมพิวเตอร์พีซีโลกนั้นเพิ่มขึ้น 22% ในไตรมาสเดียวกัน (ตัวเลขจากไอดีซี) ซึ่งผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์พีซีอย่างอินเทลก็ให้ข้อมูลว่ามียอดจัดส่งเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน
       
       จุดนี้ Peter Klein ประธานฝ่ายการเงินของไมโครซอฟท์ให้ข้อมูลว่า เดือนเมษายน-มิถุนายนซึ่งถือเป็นไตรมาส 4 ปีการเงิน 2009-2010 ของไมโครซอฟท์นั้นเป็นช่วงที่ไมโครซอฟท์สามารถทำข้อตกลงระยะยาวกับบริษัทใหญ่ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจจำหน่ายวินโดวส์ นั้นสร้างรายได้ให้ไมโครซอฟท์คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 44% คิดเป็นมูลค่า 4,500 ล้านเหรียญ มากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้รวมไมโครซอฟท์ทั้งไตรมาส
       
       สำหรับยอดจำหน่ายโปรแกรมออฟฟิศ 2010 ไมโครซอฟท์สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 15% เป็น 5,300 ล้านเหรียญ ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ สามารถขยับตัวเพิ่มขึ้นราว 14% เป็น 4,000 ล้านเหรียญ
       
       แม้ไตรมาสนี้ไมโครซอฟท์จะสามารถเพิ่มรายได้ในธุรกิจค้นหาข้อมูลและการโฆษณาออนไลน์ เช่นเดียวกับธุรกิจอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง ซึ่งรวมทั้งระบบเกมบน Xbox 360, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอื่นๆ แต่ไมโครซอฟท์ยังต้องขาดทุนมากกว่าเดิมเนื่องจากการทุ่มเงินทุนในการวิจัยและพัฒนา ขณะเดียวกันก็ต้องบาดเจ็บจากต้นทุนที่ต้องเสียไปจากการยกเลิกการจำหน่ายโทรศัพท์นาม “คิน (Kin)” ซึ่งเป็นการตัดสินใจหลังจากการเริ่มจำหน่ายเพียง 2 เดือน
       
       ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์มีพนักงาน 88,596 คน (เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ราว 400 คน) โดยผลประกอบการทั้งปีของไมโครซอฟท์ คือ รายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 29% มูลค่า 18,800 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2.10 เหรียญต่อหุ้น จากปี 2008-2009 ที่ทำได้ 14,600 ล้านเหรียญ หรือเฉลี่ย 1.62 เหรียญต่อหุ้น บนรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น 7% เบ็ดเสร็จที่ 62,500 ล้านเหรียญ
       
       ก่อนการประกาศรายได้ที่เพิ่มขึ้น มูลค่าหุ้นของไมโครซอฟท์ดำดิ่งลง 11 เซนต์เหลือ 25.73 เหรียญ แล้วจึงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหลังการประกาศอีก 72 เซนต์ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 2.9% ปิดที่ 25.84 เหรียญ
       
       ประเด็นมูลค่าหุ้นไมโครซอฟท์ที่ตกต่ำลงมากกว่าคู่แข่งอย่างแอปเปิลนั้นกำลังทำให้มีกระแสข่าวว่า ซีอีโอซึ่งร่วมหัวจมท้ายกับไมโครซอฟท์มายาวนานนับ 30 ปี อย่างสตีฟ บอลเมอร์ (Steve Ballmer) กำลังถูกกดดันให้ลาตำแหน่งภายในปีนี้ ซึ่งไมโครซอฟท์และบอลเมอร์เองยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ
       
       Company Relate Link :
       Microsoft

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)


Related Topics

  Subject / Started by Replies Last post
0 Replies
1486 Views
Last post May 05, 2009, 06:08:43 PM
by Reporter
0 Replies
1606 Views
Last post May 05, 2009, 06:09:13 PM
by Reporter
0 Replies
1678 Views
Last post May 13, 2009, 11:22:24 PM
by Reporter
0 Replies
4434 Views
Last post July 19, 2009, 02:33:58 PM
by IT
0 Replies
2438 Views
Last post December 16, 2009, 06:18:05 PM
by IT
0 Replies
5230 Views
Last post June 11, 2010, 04:51:16 PM
by Nick
0 Replies
3728 Views
Last post June 11, 2010, 04:56:15 PM
by Nick
0 Replies
3488 Views
Last post June 11, 2010, 06:56:51 PM
by Nick
0 Replies
5337 Views
Last post July 02, 2010, 03:12:03 PM
by Nick
0 Replies
4569 Views
Last post July 03, 2010, 03:15:40 PM
by Nick