เอปสัน ตั้งลูกหม้อนั่งเก้าอี้ "ผู้จัดการจำประเทศไทยควบอินเดีย" คนแรก รับแผนรื้อโครงสร้างใหม่ทั่วโลก
นายเออิจิ คาโตะ อดีตผู้อำนวยการกลุ่มสินค้าองค์กรระดับภูมิภาค และผู้บริหารที่ร่วมงานกับเอปสันมากว่า 25 ปี กล่าวว่า เขาได้รับแต่งตั้งจากเอปสันสำนักงานใหญ่ในรับตำแหน่งผู้จัดการประจำประเทศไทย ซึ่งถือเป็นตำแหน่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากเป็นนโยบายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหม่ของบริษัท ที่ประกาศปรับเปลี่ยนชื่อตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในแต่ละประเทศให้เท่าเทียมกัน เพื่อลดความสับสน และง่ายต่อการบริหารงาน โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้
พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้มอบหมายให้ดูแลงานใน 2 ประเทศ คือ ทั้งตลาดไทย และอินเดีย ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดที่สร้างรายได้สูงสุดของภูมิภาค โดยได้ตัดสินใจเลือกประจำการในประเทศไทย เนื่องจากประเมินแล้วว่า เป็นตลาดสำคัญอันดับต้นๆ ขณะที่อินเดียจะให้สิทธิรองผู้บริหารในประเทศเป็นผู้ดูแล และมีตัวเขาเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสูงสุด
ส่วนผู้บริหารคนเดิมได้รับการสนับสนุนให้กลับไปรับหน้าที่ดูงานขายในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้บริษัทเอปสัน ฮันไบ ซึ่งถือเป็นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มเอปสัน
นายคาโตะ ระบุว่า ในปีนี้บริษัทจะเน้นบริหารงานแบบให้อำนาจผู้บริหารท้องถิ่นมากขึ้น (Localization) เนื่องจากเป็นผู้ที่รู้ข้อมูล และความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี โดยเท่าที่ศึกษาตลาดไทยจากข้อมูลก่อนหน้านี้พบว่า ตลาดในกลุ่มการศึกษายังมีโอกาสสูงมาก สำหรับสินค้าในกลุ่มโปรเจคเตอร์ เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ และยังสามารถขยายตัวได้สูง ต่างกับกลุ่มโฮมยูส ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตไม่มากนัก
"สำหรับตลาดไทยผมถือว่ายังใหม่มาก แนวทางกลยุทธ์คงต้องขอเวลาศึกษาตลาดอีกสัก 6 เดือน เพราะนอกจากไทยแล้ว ยังมีตลาดอินเดียด้วย ซึ่งมีความแตกต่างทั้งภูมิศาสตร์ที่อยู่ไกลกันพอสมควร และความแตกต่างของตลาดไอทีภายในแต่ประเทศ แต่ก็เชื่อว่า สินค้าทุกกลุ่มของเอปสันยังมีโอกาสไปได้อยู่ในปีนี้" นายคาโตะกล่าว
ด้านนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายให้ผู้บริหารญี่ปุ่น 1 คน ดูแลงานใน 2 ประเทศ คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดจำนวนผู้บริหารญี่ปุ่นในต่างประเทศของบริษัทแม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริหารระดับรองๆ ซึ่งเป็นคนในพื้นที่และมีความเชี่ยวชาญตลาดมากกว่าได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ประกอบกับช่วยลดต้นทุนบริษัท เนื่องจากการส่งผู้บริหารญี่ปุ่นออกไปคุมงานในต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายต่อคนค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทแม่ยังได้เริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างฐานรายได้ในเอเชีย ซึ่งก่อนหน้านี้รายได้ส่วนใหญ่มาจากตลาดในยุโรป และสหรัฐฯ แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ประกอบกับการขยายตัวในตลาดดังกล่าวเริ่มช้าลง ทำให้เอเชียกลายเป็นพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าจะสร้างรายได้ ได้มากขึ้น
นายยรรยง เผยว่า สำหรับเอปสันไทย ในปีนี้ได้เตรียมแผนเพิ่มทีมงานในส่วนการขายประจำภูมิภาคหลักๆมากขึ้นจากเดิมมีโฮม ออฟฟิศใน 11 จังหวัดหลัก โดยคาดว่าจะเพิ่มอีก 5 ตำแหน่งสำคัญในระดับภูมิภาค
"แผน 1 คน คุม 2 ประเทศ คาดว่าจะเป็นนโยบายลดผู้บริหารญี่ปุ่นลง เพราะปกติในช่วงโยกย้ายผู้บริหาร ถ้าหมดวาระก็จะถูกเปลี่ยนไปดูแลประเทศอื่น หรือไม่ก็กลับบริษัทญี่ปุ่น และก็ส่งผู้บริหารใหม่มาแทนในตำแหน่งที่ว่างไปเท่ากัน แต่ปีนี้เริ่มเห็นว่า มีผู้บริหารญี่ปุ่นที่หมดวาระในแต่ละประเทศ แต่ส่งกลับมาน้อยลงกว่าเดิม โดยให้ 1 คนดูแลหลายประเทศมากขึ้น ทั้งยังเริ่มเห็นนโยบายโลคัลมากขึ้น แต่ก็ยังให้สิทธิเด็ดขาดกับผู้บริหารจากญี่ปุ่นอยู่ แต่ก็จะเริ่มๆเห็นแนวโน้มที่อาจจะตั้งให้คนในประเทศเป็นจีเอ็มเลย ซึ่งในยุโรปบางประเทศมีแล้ว ในเอเชียยังไม่มี แต่ก็เชื่อว่าถ้าแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ก็อาจจะได้เห็นจีเอ็มเป็นคนโลคัลในอนาคต" นายยรรยง กล่าว
พร้อมกันนี้ เขาระบุว่า ตลาดรวมไอทีไตรมาส 4 ปีที่แล้ว มีการหดตัวประมาณ 20% โดยเฉพาะตลาดผู้บริโภค เพราะปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจกระทบกับความมั่นใจ แต่พอไตรมาสแรกของปีนี้ ตลาดเริ่มดีขึ้น เพราะสถานการณ์ต่างๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้น
ส่วนของเอปสันเติบโตสวนทางตลาดทั้ง 2 ไตรมาส โดยเติบโตเฉลี่ย 20% เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เอปสันได้ลงทุนรองรับการเติบโต โดยเฉพาะด้านบุคลากร ได้ขยายพนักงานขายกว่า 60 คน จากเดิมมีประมาณ 20 คน รุกตลาดต่างจังหวัด ทำงานร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ความรู้แก่ลูกค้า
อีกทั้งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เอปสันปรับแนวทางธุรกิจ รุกตลาดภาครัฐมากขึ้น เพราะในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ภาคเอกชนจะตัดงบประมาณจัดซื้อใหม่ๆ แต่ภาครัฐยังมีการใช้งานเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
“เอปสันยังต้องการคนเพิ่มอีก เพื่อขยายงานขายออกไปทั่วประเทศ ไม่มีการปรับลดคนแต่อย่างใด อินเดียกับไทย เป็นตลาดที่มีการขยายตัวมากที่สุด ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนชัดเจน” นายรรยง กล่าว
ปัจจัยอื่นๆ ที่เสริมการเติบโตของเอปสัน คือ มีการเปิดช่องทางจำหน่ายนอน-ไอที เช่น โมเดิร์นเทรด มากขึ้น และการมีศูนย์บริการกว่า 60 แห่งทั่วประเทศ และเตรียมเปิดเพิ่มอีก 30 แห่งในปีนี้ พร้อมๆ กับการพัฒนาทักษะช่างเทคนิค
สินค้าที่เติบโตสูง เช่น เครื่องโปรเจคเตอร์ เติบโต 60% เพราะเอปสันเปิดตัวสินค้าอย่างต่อเนื่อง ครบถ้วนทุกตลาด แม้จะแข่งขันกันสูง มีเครื่องจากไต้หวันเข้ามา แต่ด้วยคุณภาพที่แตกต่าง แม้ว่าราคาของเอปสันจะสูงกว่า ก็ยังสามารถทำตลาดได้ดี เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่น ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผู้ใช้เน้นความคุ้มค่า เครื่องเดียวใช้ได้หลายอย่าง และเครื่องพิมพ์ด็อท แมทริกซ์ ที่เอปสันมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% เป็นตลาดที่ยังมีความต้องการ
นอกจากนี้ สินค้าใหม่ๆ ที่เอปสันนำเข้ามาทำตลาด ก็ได้รับการตอบรับที่ดี เช่น เครื่องสแกนเนอร์ความเร็วสูงและ เครื่องพิมพ์สมุดธนาคาร ที่มีลูกค้าหลักคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์
ที่มา: bangkokbiznews.com