เรียกว่าเป็นผู้เล่นในตลาดไฮเอนด์ มานาน สำหรับคอมพิวเตอร์ สัญชาติญี่ปุ่น "ฟูจิตสึ" แต่ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงของตลาดพีซี โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ทำให้ฟูจิตสึไม่สามารถที่จะโลดแล่นอยู่เฉพาะตลาดพรีเมี่ยมอย่างเดียวได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อขึ้นปีงบประมาณใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2553 ฟูจิตสึจึงปรับกลยุทธ์ใหม่ ประกาศลุยตลาด "เมนสตรีม" อย่างจริงจัง เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจเป็นครั้งแรก
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์ "โทโมกิ ทาคาฮาชิ" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ฟูจิตสึ พีซี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ถึง "บิ๊กมูฟ" ครั้งใหม่ของ ฟูจิตสึ ปี 2553
- กลยุทธ์ของฟูจิตสึ ปี 2553
อดีตที่ผ่านมา ฟูจิตสึเน้นโฟกัสและพัฒนาสินค้ากลุ่ม "แวลู โมเดล" หรือกลุ่มสินค้าไฮเอนด์เป็นหลัก เพื่อเปิดประสบการณ์ผู้ใช้งานให้ได้รับความคุ้มค่าและคุณภาพของสินค้า ส่งผลให้สินค้าของฟูจิตสึแพงกว่าแบรนด์อื่น ๆ เพราะเราเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริหาร นักธุรกิจ เป็นหลัก แม้ว่าจะมีสินค้ากลุ่มเมนสตรีม ก็มีแค่ 1 รุ่นเท่านั้น และราคายังสูงกว่าคู่แข่ง
แต่ปีนี้ ฟูจิตสึต้องการที่จะปรับตัวเองและปรับราคาสินค้าให้ต่ำลงมา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้สามารถเข้าถึงแบรนด์ฟูจิตสึได้มากขึ้น โดยพยายามพัฒนาสินค้ารุ่นเมนสตรีมมากขึ้น เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าของฟูจิตสึ
สินค้ากลุ่มเมนสตรีมของฟูจิตสึ หมายถึงสินค้าระดับราคา 2-2.5 หมื่นบาท แต่หากเป็นซีพียูเอเอ็มดี ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 1.8-2 หมื่นบาท
ปัจจุบันมี 5 รุ่น ทั้งโน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊ก เปิดตัวเมื่องานคอมมาร์ตที่ผ่านมา ซึ่งได้รับฟีดแบ็กที่ดี
แต่กระนั้นฟูจิตสึยังไม่ทิ้งสินค้ากลุ่มแวลู โมเดล โดยยังคงพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ที่ผลิตในญี่ปุ่น เช่น รุ่น SH760 ขนาด 13 นิ้ว น้ำหนักน้อยกว่า 1.5 ก.ก. หรือ รุ่น P770 ขนาด 12 นิ้ว หนักเพียง 1.3 ก.ก. สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารซึ่งต้องการสินค้าน้ำหนักเบา
ด้านช่องทางการจำหน่ายนั้น ปัจจุบันฟูจิตสึมีบริษัทไอเซเว่น เป็นดิสทริบิวเตอร์เพียงรายเดียว และยังไม่มีแผนที่จะขยายดิสทริบิวเตอร์เพิ่ม แต่จะเน้นการเพิ่มจำนวนดีลเลอร์ขึ้นเท่าตัว จากตอนนี้มี 30 แห่ง รวมถึงการขยายเข้าสู่โมเดิร์นเทรด เช่น เพาเวอร์บาย เพาเวอร์มอลล์ หรือซูเปอร์สโตร์ เพื่อเพิ่มช่องทางในการทำตลาดสินค้าเมนสตรีมมากขึ้น ซึ่งตอนนี้เริ่มมีสินค้าวางจำหน่ายในเพาเวอร์มอลล์บางสาขาแล้ว รวมถึงการวางขายที่ร้านค้าในสยามพารากอนด้วย เมื่อฟูจิตสึมีดีลเลอร์มากขึ้น และมีลูกค้าเข้ามาในร้าน บริษัทสามารถใช้กลยุทธ์อัพเซลให้ซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น หรือรุ่นแวลูแทนได้
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายศูนย์บริการในต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีเพียง 1 แห่ง ใน กทม.เท่านั้น โดยคาดว่าจะเพิ่มได้ 5-10 แห่งภายในปีนี้ และเพิ่มกิจกรรมการตลาดให้ผู้บริโภคเป็นที่รู้จักมากขึ้น
- เหตุผลที่ตัดสินใจเข้าสู่ตลาดเมนสตรีม
เป็นนโยบายระดับโกลบอลที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเมนสตรีมมากขึ้น เพื่อให้มีสินค้าครบทุกไลน์ แต่จะเน้นโฟกัสที่ตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก เช่น ประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย ขณะเดียวกันตลาดเมนสตรีมเป็นตลาดที่เติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะในเอเชีย หากเราเข้าใจในตลาดกลุ่มนี้ได้ จะถือเป็นโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่และสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เพราะการลดราคาสินค้าลงมา ทำให้คนเข้าถึงแบรนด์มากขึ้น เป็นโอกาสครั้งใหญ่ของเราในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น สำหรับในประเทศไทย ฟูจิตสึก็มีแผนการลงทุนเพื่อขยายตลาดที่เยอะมากเช่นกัน
สำหรับสินค้ารุ่นเมนสตรีมทั้งหมดของฟูจิตสึจะผลิตจากโรงงานในจีน ขณะที่รุ่นแวลู โมเดล จะผลิตจากโรงงานในญี่ปุ่น เพราะค่าแรงที่ถูกกว่าทำให้สามารถทำราคาได้
- ไม่กลัวจะเสียภาพลักษณ์แบรนด์หรือ
ไม่ เพราะเรามีการควบคุมคุณภาพ แม้ว่าสินค้ารุ่นเมนสตรีมจะผลิตจากโรงงานในจีน แต่มีการควบคุมและรับประกันโดยวิศวกรจากญี่ปุ่น เรารักษาคุณภาพเหมือนกับรุ่นแวลูที่ผลิตในญี่ปุ่น การลดราคาไม่ใช่ว่าคุณภาพสินค้าจะลดตาม เพราะเราควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบกับแบรนด์ เป็นการเพิ่มไลน์สินค้ามากกว่า แต่สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับหากซื้อกลุ่มแวลูโมเดล คือคุณภาพบางอย่างที่สูงกว่ารุ่นที่ผลิตในจีน เช่น บางกว่า เบากว่า และดีไซน์ที่ใช้วัสดุที่ดีกว่า เป็นต้น แต่ราคาก็สูงกว่าด้วย
- จุดต่างของฟูจิตสึกับสินค้าของแบรนด์อื่น
เรื่องความคุ้มค่าและคุณภาพ หมายถึงสินค้าของเราจะมีความบางและเบาเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน และมีพรีเมี่ยมดีไซน์ เพราะแม้คนจะซื้อสินค้าเมนสตรีม แต่คนยังมองหาความ แตกต่าง เช่น รุ่น LH 530 ซึ่งมีดีไซน์ที่แตกต่าง คีย์บอร์ดกันน้ำ น้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กขนาด 14 นิ้วของแบรนด์อื่นๆ ทำให้คอนซูเมอร์ตัดสินใจง่ายขึ้น
- ภาวะตลาดพรีเมี่ยมโน้ตบุ๊กในไทยเป็นอย่างไร
ยอมรับว่ากลุ่มตลาดเมนสตรีมมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่า แต่กลุ่มพรีเมี่ยมก็ยังมีอัตราการเติบโต โดยสินค้าราคา 3.5 หมื่นบาทขึ้นไป มีสัดส่วนในตลาดประมาณ 30% เพราะยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่มองหาสินค้าประเภทแวลู ซึ่งฟูจิตสึมีสินค้าตอบโจทย์ และยังดูแลลูกค้ากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง
และปีนี้ ฟูจิตสึมีแผนจะบุกตลาดองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่และเซ็กเมนต์การศึกษา เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ตลาดคอร์ปอเรตมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% โดยจะเน้นการทำงานใกล้ชิดกับบริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็มส์ บีสซีเนส ประเทศไทย ซึ่งเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ไอเซเว่นมีการตั้งทีมดูแลตลาดคอร์ปอเรตขึ้นมาด้วย
- เป้าหมายของฟูจิตสึ ปี 2553
ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดโน้ตบุ๊กในปี 2553 อยู่ที่ประมาณ 2% ด้วยยอดขาย 2.5 หมื่นเครื่อง จากปีที่ผ่านมามียอดขาย 1 หมื่นเครื่อง แต่ทั้งนี้นโยบายของฟูจิตสึ ไม่ได้โฟกัสที่ส่วนแบ่งการตลาด แต่โฟกัสที่ความคุ้มค่าและคุณภาพของสินค้า อย่างไรก็ตามคาดว่าสัดส่วนรายได้ปี 2553 จะมาจากสินค้ากลุ่มเมนสตรีม 60% และแวลู โมเดล 40% และคาดว่าราคาเฉลี่ยสินค้าจะลดลง จากเดิมราคาโน้ตบุ๊กฟูจิตสึเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 หมื่นบาท ซึ่งคาดว่าในปีนี้ ราคาเฉลี่ยจะลดเหลือ 2-3 หมื่นบาท แต่ได้จำนวนการขายที่เพิ่มมากขึ้น
- มองภาพรวมตลาดคอมพิวเตอร์ในไทยเป็นอย่างไร
ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. ซึ่งมีเหตุการณ์ ความรุนแรงเกิดขึ้นนั้นส่งผลให้ยอดขายฟูจิตสึหายไปกว่า 50% เพราะคนไม่ออกมาซื้อสินค้า แต่เมื่อสถานการณ์ปกติคาดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะดีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ตลาดพีซีโน้ตบุ๊กในเมืองไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงโดยเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก แม้ว่าฟูจิตสึไม่สามารถลดราคาสินค้าได้มากมายตามเทรนด์ของตลาด เพราะเราเน้นที่คุณภาพและความคุ้มค่า แต่เราก็มีสินค้าที่สามารถแข่งขันได้ แม้ว่าตลาดล่างจะแข่งขันราคากันอย่างหนัก แต่ผู้บริโภคก็ยังสนใจแบรนด์ และด้วยคุณภาพของฟูจิตสึทำให้เรายังมีโอกาสในการขายมากเช่นกัน
ที่มา: prachachat.net