Author Topic: เมโทรมุ่งรักษายอดรายได้5พันล. วาง 3 กลยุทธ์บุกการศึกษา-ภาครัฐ-โรงพยาบาล  (Read 1079 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Reporter

  • Moderator
  • Gold Member
  • *
  • Posts: 1093
  • Karma: +8/-0
  • Gender: Male
    • ซ่อมคอมเชียงใหม่

เมโทรมุ่งรักษายอดรายได้5พันล. วาง 3 กลยุทธ์บุกการศึกษา-ภาครัฐ-โรงพยาบาล แตกบริษัทลูกทำฮาร์ดแวร์ไอบีเอ็ม 
เมโทร กางแผนสู้วิกฤติ ชู 3 กลยุทธ์ช่วยลูกค้าลดต้นทุน ทำงานใกล้ชิดพาร์ตเนอร์-คืนกำไรสังคม พร้อมเบนเข็มมุ่ง วิ่งเจาะตลาดภาคการศึกษา-รัฐ -โรงพยาบาล โชว์สถิติลูกค้าซื้อซ้ำมากกว่า 90% เชื่อรายได้เข้าเกิน 5,000 ล้านบาท ล่าสุดแตกบริษัทลูกทำตลาดฮาร์ดแวร์ไอบีเอ็ม


นายกิตติ เตชะทวีกิจกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการดำเนินธุรกิจปีนี้บริษัทคงมุ่งเน้นการรักษายอดรายได้ระดับ 5,000 ล้านบาท เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดไอที โดยนำเทคโนโลยีเข้าช่วยลูกค้าลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ โดยใช้ต้นทุนต่ำ โดยกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ การเข้าไปทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อเอาเทคโนโลยีเข้าไปช่วยลดต้นทุน อาทิ การผนวกรวมเครื่องแม่ข่าย(Server Consolidation) ที่ลูกค้ามีอยู่เข้าด้วยกัน เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนบุคลากร พื้นที่จัดเก็บ หรือ เทคโนโลยีเสมือนจริง


นอกจากนี้ยังมุ่งทำงานร่วมกับผู้ผลิตอย่างไมโครซอฟท์ และไอบีเอ็มมากขึ้น โดยการทำธุรกิจปัจจุบันบริษัทและซัพพลายเออร์ จะต้องปรับความเข้าใจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้ง ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยภายใต้ภาวการณ์ชะลอตัวของตลาดบริษัทก็ต้องการการสนับสนุนจากซัพพลายเออร์ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทั้งในแง่ของการสนับสนุนเงื่อนไขการเงิน และเงื่อนไขการดูแลลูกค้า ขณะเดียวกันบริษัทจะดำเนินโครงการอบรมนักศึกษาด้านไอทีต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมนักศึกษาเหล่านี้ก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน


นายกิตติ กล่าวอีกว่าจากการเก็บข้อมูลของบริษัทพบว่ามีอัตราส่วนลูกค้าซื้อสินค้าต่อเนื่องจากบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาประมาณ 94% ดังนั้นจึงมั่นใจว่าผลประกอบการแต่ละปีจะอยู่ที่ระดับ 5,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักจะมาจากกลุ่มลูกค้าเก่า ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าชั้นดี โดย 92-93% หรือ 6,000-7,000 บริษัทขนาดกลางและเล็ก ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่ที่การซื้อเข้ามามีระดับ 1,000 บริษัท


สำหรับปีนี้ได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ประมาณ 5,300 ล้านบาท คาดว่าเป็นรายได้จากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ 28% วัสดุสิ้นเปลือง 45% และ ซอฟต์แวร์-บริการ 26% ขณะที่ปีที่ผ่านมามีรายได้ 5,366 ล้านบาท โดยตลาดที่จะมุ่งไป คือภาครัฐ การศึกษา และโรงพยาบาล ซึ่งเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้พยายามขยายธุรกิจบริการ ที่มีโอกาสเติบโต ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวของตลาด


นายวีรพันธุ์ ดุรงค์แสง ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ บริษัทเมโทรซิสเต็มส์ จำกัด กล่าวเสริมว่าในกลุ่มธุรกิจฮาร์ดแวร์นั้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้ลูกค้ากลุ่มผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ชะลอการลงทุนไป ซึ่งบริษัทจะต้องเข้าไปทำงานใกล้ชิดกับลูกค้ากลุ่มนี้ในการนำไอทีเข้าไปช่วย ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นช่วยลูกค้าเกิดความคุ้มค่าการลงทุนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการผนวกรวมเครื่องแม่ข่าย หรือเทคโนโลยีกรีนไอที นอกจากนี้บางโครงการของกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีความน่าเชื่อถือนั้นบริษัทนำเสนอเงื่อนไขด้านเงินสนับสนุน อาทิ เงื่อนไขผ่อนชำระดอกเบี้ยราคาพิเศษ โดยกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญในการทำตลาดคือ กลุ่มการศึกษา ที่มีการพัฒนาระบบอีเลิร์นนิ่ง


นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัทเมโทร คอนเนค จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของไอบีเอ็ม ให้กับกลุ่มผู้วางระบบ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ ที่ต้องการเข้างานประมูล ซึ่งคู่ค้ากลุ่มนี้มีความต้องการตัวแทนจำหน่ายที่สามารถรับประกันการจัดหาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เนื่องจากกลัวปัญหาส่งมอบสินค้าไม่ทันกำหนด ทั้งนี้คาดว่าบริษัทดังกล่าวจะมีรายได้ในปี 2552 ประมาณ 300 ล้านบาท พร้อมกันนั้นยังได้ลงทุนจัดซื้อระบบจัดเก็บข้อมูล สตอเรจ XIV ของไอบีเอ็ม ซึ่งถือเป็นไอบีเอ็มพาร์ตเนอร์รายแรกในภูมิภาคนี้ที่มีการลงทุนระบบดังกล่าว ซึ่งเป็นโอเพนสตอเรจ ที่มีความจุสูง 80 เทราไบต์


ด้านนายอรุณ ต่อเอกบัณฑิต ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ บริษัทเมโทรซิสเต็มส์ จำกัด กล่าวว่าทิศทางการให้บริการซอฟต์แวร์จะมุ่งให้ความสำคัญใน 3 กลุ่ม คือ ระบบการผนวกรวมข้อมูลในองค์กร ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจดีองค์กรไม่มีเวลามาดูแลเรื่องข้อมูล อีกทั้งข้อมูลองค์กรกระจัดกระจายผู้บริหารไม่สามารถดึงข้อมูลมาตัดสินใจทางธุรกิจ อีกกลุ่มเป็นกลุ่มระบบผนวกรวมเอาการสื่อสารบนไอพีในองค์กรเข้าด้วยกัน( Unify communication) ที่ช่วยองค์กรลดต้นทุนการสื่อสาร และการเดินทาง สุดท้ายคือ เน้นการพัฒนาทักษะบุคลากร โดยปัจจุบันมีบุคลากรให้บริการเอาต์ซอร์ซ 200 คน ปีนี้อาจเพิ่มเป็น 300 คน ซึ่งจะต้องพัฒนาทักษะ และมีรับรองความสามารถ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้องค์กรและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า 

ที่มา: thannews.th.com


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)