วิธีเขียนบทความคุณภาพทางด้าน SEO สนับสนุน Google Panda 4.2สิ่งที่เป็นประโยชน์วิธีเขียนบทความคุณภาพทางด้าน SEO สนับสนุน Google Panda 4.2 ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่จะมานำเสนอเกี่ยวกับรับทำ SEOอ่านเนื้อหาส่วนนี้แล้วจะทำให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้
กระบวนการการสร้างเนื้อหา
คุณภาพการทำ SEO สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือ การสร้าง Content คุณภาพ ที่เป็นผลดีต่อผู้อ่าน หากคุณมัวแต่สร้างแบ็คลิงค์โดยไม่สนเรื่องของการสร้างบทความ
คุณภาพ อันดับ SEO ของคุณอาจไม่คงทน การป้อน Quality Content เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ SEO อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าคุณจะทำอันดับกูเกิลด้วยทราฟฟิค หรือทำอันดับกูเกิลด้วยแบ็คลิงค์ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเขียนเนื้อหาคุณภาพ
ในวงการ SEO รวมไปถึงวงการ Internet Marketing ด้วย มีคำกล่าวยอดนิยมที่ว่า Content is King ซึ่งหมายถึง ให้สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ (Quality Content) ถึงจะช่วยให้ประสบผลสัมฤทธิ์ในการทำ SEO ในการสร้าง Quality Content ที่ดีนั้น ควรจะนึกถึงถึง 2 สิ่งควบคู่กันไป คือ User (ผู้อ่าน) และ Search Engine จากการอัพเดทหลังสุดของ Google ที่เรียกว่า Google Quality Update (Google Phantom Update) ที่เน้นความมีคุณภาพของ Content เป็นสำคัญ ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ทำให้ ในการ
รับทำ SEO ปัจจุบันนั้น เรามีความจำเป็นต้องมาทำความเข้าใจในเรื่อง Quality หรือ คุณภาพ ในมุมมองของกูเกิลมากยิ่งขึ้น
Quality Content ในมุมมอง Google
หากตั้งข้อสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า Content ที่มีคุณภาพเป็นยังไง แล้วเราจะส่งเสริมให้เนื้อหาของเรามี Quality ในวิสัยทัศน์ Google ได้ยังไง ผมต้องบอกกับผู้อ่านก่อนว่าเรื่องของคุณภาพเป็นเรื่องที่ละเอียดพอสมควร อีกทั้งกูเกิลก็มีเกณฑ์วัดคุณภาพโดยปรับปรุง Algorithm ใหม่ๆ ออกมาเพื่อ Check คุณภาพของบทความนั่นเอง
ในสายตาผู้ติดตาม (User) ย่อมเข้าใจว่าเนื้อหาที่พวกเขาอ่านอยู่นั้น เป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ผู้อ่านสามารถตัดสินด้วยตัวเองได้ว่าบทความที่กำลังอ่านสอดคล้องกับเรื่องที่เขากำลังค้นหาหรือไม่ และสามารถติดสินได้ว่า ชอบหรือไม่ชอบ เนื้อหานั้นๆ แต่ในวิสัยทัศน์ของ Google นักทำ SEO จะทราบได้ยังไงว่า Quality Content ในมุมมองของ Google เป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าหากเราเข้าใจคำว่าคุณภาพในมุมมองของกูเกิลได้ ก็จะทำให้เราสามารถทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งผมจะยิบยกเอาเรื่องของ Quality Rater หรือการประเมินคุณภาพตามแบบฉบับของ Google ซึ่งเว็บ SEO เมืองนอกจะติดตามและให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นนี้ค่อนข้างมาก เพราะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาระบบ Algorithm ของกูเกิลก็ว่าได้ การพัฒนาความรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Google Quality Raters และ Quality Rater Guidelines จะช่วยทำให้เราสามารถทำ SEO ให้สอดคล้องกับระบบ Algorithm ใหม่ๆ ของ Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำอันดับอย่างยั่งยืน
มาทำความรู้จักกับ Google Quality Raters
หากเราแปลตรงๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเรื่องของ Google Quality Raters คือ การประเมินคุณภาพของกูเกิล แน่นอนว่าถ้าเราทำความเข้าใจกับมันให้มากๆ ย่อมจะส่งผลดีต่อการทำ SEO ของเราอย่างแน่นอนครับ ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ QR (Quality Raters) ของ Google ก็เหมือนกับ QC (Quality Control) ของบริษัททั่วไป จะทำหน้านี่ตรวจตสอบคุณภาพ ซึ่งในมุมมองของกูเกิล คือ การตรวจเช็คคุณภาพของเว็บไซต์นั่นเอง และแน่นอนว่าจะมุ่งเน้นไปที่การ Check ที่คุณภาพของบทความเป็นหลัก อาจมีการตรวจสอบ Factor อื่นสนับสนุน เช่น การ Check โครงสร้างเว็บไซต์ว่าสนับสนุน Google Mobile Friendly การ Check มาตรฐานการปรับปรุง Website ตามหลักของ W3C การออกแบบเว็บ Web Layout ที่สนับสนุนผู้ติดตามเป็นหลัก เป็นต้น ซึ่ง Position ของเจ้าหน้าที่ Google สำหรับตรวจสอบคุณภาพดังกล่าว เรียกว่า Search Quality Analyze หรืออาจเรียกว่า Search Quality Research and Development ก็ได้ ซึ่งความหมายเหมือนๆ กัน คือการแจกแจง ตรวจสอบ และพัฒนาคุณภาพบน Google Search ทีมเวิร์คด้านนี้มีความสำคัญกับการพัฒนาระบบ Algorithm ต่างๆ ของกูเกิลอย่างมาก ก่อนที่จะพัฒนาหรืออัพเดทระบบอัลกอริทึมใหม่ๆ จะต้องมีการกำหนด Quality Guidelines ให้กับทีมเวิร์ค Engineer ที่มีหน้าที่ปรับปรุง Google Algorithm และเมื่อระบบอัลกอริทึมพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการ Test กันภายใน หรือเรียกว่า Offline Testing เพื่อให้ QR แจกแจงว่า Algorithm ก่อนและหลังการปรับปรุงมีคุณภาพในการแสดงผลการค้นหา Search Result Pages ดีขึ้นหรือไม่ การที่เราทำความเข้าใจกับคำว่า คุณภาพ ในวิสัยทัศน์กูเกิล ย่อมทำให้เราสามารถดันอันดับบน Google ได้ทุกอัลกอริทึมที่ออกมา และนักทำ SEO ควรเข้าใจและเข้าใจว่ายิ่งกูเกิลมีการปล่อยอัลกอริทึมออกมาบ่อยเท่าใด นั่นมีความหมายว่าจะยิ่งเน้นคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ นักทำ SEO ควรปรับปรุง Knowledge ความสามารถ และตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน
เริ่มต้นวิจัยเกี่ยวกับ Google Quality Rater Guidelines
Content ในวิสัยทัศน์ของ Google ประกอบด้วยอะไรบ้าง
1. Main Content (MC) หมายถึง ส่วนหลักของ Webpage ที่ตอบโจทย์ของเป้าหมายในการสร้างหน้านั้นขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็น Text (ประโยค) , รูปภาพ , วีดีโอ เป็นต้น ซึ่งบางทีอาจจะนับรวมไปถึง คอมเม้นท์จากผู้เยี่ยมชมด้วย MC จะมีคุณภาพมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ Detail ของบทความภายในเนื้อหานั้นๆ ว่าตอบคำถามความประสงค์ของผู้อ่านได้มากน้อยเพียงใด
2. Supplementary Content (SC) หมายถึง เนื้อหาส่วนเสริม ในที่นี้มีขึ้นเพื่อสร้างใช้งานที่ดี (Good User Experience) ในหน้าเพจนั้นๆ แต่ไม่ได้มีส่วนโดยตรงสำหรับให้บรรลุจุดมุ่งหมาย เช่น Navigation (เมนู) , Relate Posts , Sidebar , Footer เป็นต้น
3. Advertisments/Monetization (Ads) หมายถึง Banner โฆษณา Sponsored ต่างๆ ที่วางไว้เพื่อสร้างรายได้ให้กับเว็บ ซึ่งคำว่า Advertise อาจเป็น Image Ads , Text Ads หรือ Multimedia Ads แม้แต่ Advertise Youtube ก็เรียกว่า Ads กลุ่มหนึ่งบนเว็บไซต์ของเรา
Quality Content ในวิสัยทัศน์ Google มองในแบบ Google Quality Rater Guidelines
หลักการที่ Google บอกให้ Human Raters ใช้เพื่อประเมินและให้แต้ม Webpage/Content จะใช้ 2 ตัวแปรหลัก คือ คุณภาพของเพจ (Page Quality Rating) และ คุณประโยชน์ (Utility Rating)
หากพูดถึงเรื่องของการประเมินทางด้านคุณภาพของ Google จะแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อใหญ่ๆ เช่น
1. Page Quality Rating Page Quality Rating (PQ) คือแต้มที่ให้โดยทีมงาน Quality Raters ซึ่งจุดหมายปลายทางหลักๆของ PQ เพื่อบอกว่า หน้าเพจนั้นๆมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน โดยส่วนสำคัญของการประเมินคุณภาพอยู่ที่ หน้าเพจนั้นตอบข้อสงสัยของวัตถุประสงค์ในการสร้างมันขึ้นมามากน้อยแค่ไหน
ซึ่งการให้สกอร์จะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ Lowest – Low – Medium – High – Highest (สามารถแยกย่อยได้อีก 9 ระดับ โดยจะเพิ่ม Low- , Low+ , Medium+ และ Heigh+) ให้ดูภาพประกอบจาก Manual ซึ่งสามารถค้นหาบน Google Search ด้วย Keyword google quality rater guidelines pdf แล้วทำการดาวน์โหลดเพื่ออ่านเป็น Manual ควบคู่กับการอ่านเนื้อหานี้
ลักษณะหน้าเว็บที่จะได้ Score Page Quality สูง
Page หรือ Website ที่มีคุณภาพสูงในมุมมองของ Google เรียกได้ว่ามีบทความคุณภาพสูงเป็นผลดีต่อผู้เยี่ยมชม (High Quality Content) จะมีแต้ม PQ ถูกจัดอยู่ในระดับ High มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. Heigh Quality Main Content คุณภาพของ MC ถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชี้วัดคุณภาพของ Page Quality ก็ว่าได้ สำหรับเว็บไซต์ทุก Platform แล้ว การสร้างบทความคุณภาพจำเป็นต้องมีทักษะดังต่อไปนี้ คือ Time (time) , ความพยายาม (effort) , ความเชี่ยวชาญ (expertise) และ ความสามารถ/ทักษะ (talent/skill)
Main Content หรือบทความหลักมีคุณภาพสูงและจำนวนเหมาะสม จุดมุ่งหมายของหน้าเพจจะเป็นตัวช่วยในการประเมินคุณภาพของ Main Content ยกแบบอย่างเช่น
1.1 Main Content สำหรับ สารานุกรม (encyclopedia) ควรที่จะให้ข้อเท็จจริง ถูกต้อง ชัดเจนและครอบคลุม
1.2 Main Content สำหรับ Shopping ควรที่จะง่ายต่อการค้นหาสินค้า หรือ สั่งซื้อ
1.3 Main Content สำหรับ การอ้างอิง (Referral) ควรที่จะมีหัวข้อและเนื้อหาคลอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ทั้งหมด
2. A High Level of Expertise/Authoritativeness/Trustworthiness (E-A-T)E-A-T ย่อมากจาก Expertise/Authoritativeness/Trustworthiness Respectively
Expertise หมายถึง ความเชี่ยวชาญ (การแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว เป็นความเชี่ยวชาญในรูปแบบหนึ่ง)
Authoritativeness หมายถึง ความมี Power (เป็นศูนย์กลางของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่รู้จัก)
Trustworthiness หมายถึง ความน่าเชื่อถือ (ผู้ที่อ่านได้รับ Knowledge Data ที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ)
เพจหรือ Website ที่มีคุณภาพสูงจำเป็นต้องดูมีความเชี่ยวชาญ/ความน่าไว้วางใจ ในหัวข้อที่นำเสนอ แต่ไม่มีความจำเป็นว่าทุกเพจต้องมี E-A-T ขั้นสูงโดยทั้งหมด สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ Topic (หัวเรื่อง) ของหน้าเพจนั้น ว่าจำเป็นต้องอาศัยความน่าไว้วางใจสูงมากแค่ไหนเพื่อให้ตอบคำถามของจุดมุ่งหมายในการสร้าง
Page หรือ หน้าเว็บที่มีคุณภาพสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียนโดยผู้ชำนาญการที่ทำให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือ ให้จำไว้ว่าเว็บไซต์กลุ่มควรมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องที่นำเสนอ ผู้ง่ายๆ คือ ต้องมีคนที่มี Knowledge เกี่ยวกับบทความที่ Present ต่อผู้ติดตามนั่นเอง ไม่ว่าคุณจะสร้างเว็บซุบซิบ ข่าวบันเทิง , เว็บเสื้อผ้า Fashion , Website อารมณ์ขัน ตลก เฮฮา , เว็บบอร์ดหรือหน้าเว็บถาม-ตอบ , Data บางอย่างที่เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง หรือหัวข้ออภิปราย จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญให้คำอธิบายหรือบรรยายเรื่องเฉพาะเจาะจงได้ พูดง่ายๆ คือ มีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบ Question ในหัวข้อภายในเว็บแบบละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ได้นั่นเอง
2.1 E-A-T เกี่ยวกับคำแนะแนวที่มีคุณภาพในทางการแพทย์ ก็ควรมาจากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ที่เหมาะสมและได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง คำแนะนำทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ควรเขียนหรือสร้างในรูปแบบมืออาชีพ และควรได้รับการตรวจเช็ค แก้ไขปรับปรุง ปรับปรุงเป็นประจำ
2.2 E-A-T เกี่ยวกับคำนำเสนอทางด้านการเงิน , ที่ปรึกษาทางด้านข้อบังคับ , คำอธิบายทางด้านภาษีและอื่นๆ ควรมาจากแหล่งข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญและได้รับการตรวจเช็คและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
2.3 E-A-T คำกล่าวที่มีคุณภาพในหัวข้อต่างๆ เช่น การพัฒนาบ้าน (ซึ่งอาจต้องใช้รายจ่ายสูงหลายแสนบาท) หรือคำบอกเกี่ยวกับปัญหาการเลี้ยงดู (ซึ่งสามารถกระทบต่อความสุขในอนาคตของคนในครอบครัว) ก็ควรมาจากคำนำเสนอของผู้ชำนาญการหรือผู้ที่สามารถไว้วางใจได้
2.4 E-A-T หน้าคุณภาพที่เกี่ยวกับงานอดิเรก เช่น การถ่ายภาพ หรือ การพัฒนาความรู้การเล่นกีตาร์ ยังต้องมีความเชี่ยวชาญ
จากตัวอย่างที่ Present สะท้อนให้เห็นว่า Google สามารถเข้าใจคุณภาพของเนื้อหาที่เราสร้างขึ้น นั่นหมายความว่าคุณไม่สามารถเขียนเนื้อหาธรรมดาๆ แม้ว่าจะอ่านรู้เรื่อง เพื่อหวังผลทางอันดับ Google ที่ดี เว้นแต่คุณจะสร้างเนื้อหาอย่างละเอียดและลึกซึ้ง เขียนแบบผู้ชำนาญการ และให้เข้าใจว่ากูเกิลเข้าใจสิ่งที่คุณเขียนว่ามีคุณค่าขนาดเท่าใด แน่นอนว่าคุณอาจเห็นบางเว็บมีบทความไม่มาก แต่สามารถติดอันดับต้นๆ บนผลการค้นหาของกูเกิล Search Result Pages อย่างที่ผมเคยชี้แจงไปในบทความก่อนๆ ว่า Traffic สามารถดันอันดับเว็บได้อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณเขียนเนื้อหาได้พอใจผู้เยี่ยมชมปริมาณมากๆ เว็บของคุณอาจไม่ต้องมีข้อมูลคุณภาพจำนวนมากก็สามารถดันอันดับได้ แต่ถ้าเว็บคุณยังไม่ดัง สิ่งที่ดีที่สุดคือการกรอก Content ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ในบางทีคุณไม่ต้องเขียนบทความโดยใช้ศัพท์ทางวิชการมากๆ ก็ได้ คุณสามารถเขียนรีวิวการ Trip การใช้ชวิตประจำวัน ก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิสัยทัศน์ของ Google ได้ จากการบรรยายการการออกทริปและการใช้ชวิตในแบบของคุณ เพราะ Google เข้าใจว่าประสบการณ์ที่คุณพบเจอในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั่งทริปท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนเป็นประสบการณ์และเหตุการณ์ที่ทำให้คุณมีความเชี่ยวชาญได้นั่นเอง ส่วนถ้าหากคุณข้องใจว่า Google จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณกำลังเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ปัจจบุันกูเกิลมีข้อมูลมหาศาลและมีข้อมูลเกือบทุกเรื่อง Data ของคุณจะถูกนำไปเปรียบเทียบข้อมูลในหมวดหมู่เดียวกันกับบทความที่คุณเขียน และตรวจเช็คความสันพันธ์ของข้อมูล ถ้าคุณเขียนด้วยความเข้าใจ จากประสบการณ์ หรือการค้นคว้า เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ กูเกิลก็จะเข้าใจสิ่งที่คุณตั้งใจถ่ายทอดให้กับผู้เยี่ยมชม
3. Positive Reputation หน้าที่มีคุณภาพจะต้องเป็น Page ที่เป็นที่รู้จัก และต้องมีเชื่อเสียงในแง่บวก ชื่อเสียงของ Website มีพื้นฐานจากประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริง รวมถึงความเข้าใจเห็นของผู้คน เช่น รีวิว คอมเม้นท์ การพูดถึงเพจของคุณจากยูสเซอร์คนอื่นๆ บนหน้าเว็บอื่น หรือแม้กระทั่งจำนวนการค้นหาเกี่ยวกับเพจของคุณบน Google Search สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความมีเชื่อเสียงของคุณ ในการทำ SEO ยุคปัจจุบัน ยิ่งมีคนกล่าวถึงคุณมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO มากเท่านั้น งั้นคุณก็เริ่มสร้างให้เว็บของคุณมีเชื่อเสียงได้แล้ว
4. Helpful Supplementary Content Google กล่าวว่า SC (Supplementary Content) อาจเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้เพจมีคุณภาพสูงที่น่าพอใจตามจุดมุ่งหมายของมัน กล่าวคือเว็บไซต์มีการจัดวาง SC ที่ดี สะดวกต่อการใช้งานของ Audience (เช่น พวก เมนู Sidebar Footer ต่างๆ) และพยายามอย่างสร้าง Spam Link หรือ Spam Content ในที่ตั้งดังกล่าว ให้มุ่งเน้นการนำเสนอที่น่าสนใจ ตลอดจนสามารถนำทางผู้ใช้งานออย่างมีประสิทธิภาพ
5. Functional Page Design กูเกิลได้ให้ความหมายโดยรวมของ Function Page Design ไว้ว่า หน้าที่มีคุณภาพสูงนั้นได้รับการดีไซน์มาเพื่อบรรลุ Objectvie ของผู้เขา (เจ้าของเว็บไซต์) เพจจะต้องมีการบริหารที่ดี สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีรูปแบบการทำงานโดยรวม ในขณะที่ทุกหน้ามีความแตกต่างกัน หน้าที่มีคุณภาพควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
5.1 MC (Main Content) หรือ บทความหลัก ควรแสดงอย่างเด่นชัดในบริเวรณด้านหน้าและตรงกลางเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน ส่วน SC และ Ads ควรวางในที่ตั้งที่เหมาะสม
5.2 บทความหลัก MC ควรมองเห็นได้ทันทีที่เปิดหน้าเว็บไซต์
การออกแบบเพจที่เอื้อต่อการใช้งาน (User Experience) ในการดีไซน์ให้เว็บรองรับผู้ใช้งานให้สามารถเข้าถึง Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าถึง Data ที่ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมให้หน้าเว็บของเรามีคุณภาพในมุมมองของกูเกิลด้วย
6. A Satisfying Amount of Website Information เพจที่มีคุณภาพสูงควนมีข้อมูลเว็บไซต์ครบถ้วนถูกต้องกระจ่างแจ้ง เช่น หน้า Support , About Us , Contact Us , Service Information , Product Information เป็นต้น ยังไงก็ตามเพจของคุณอาจมีข้อมูลที่มากกว่านี้ หรืออาจแสดง Data ที่สอดคล้องให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึง Data ทั้งหมดยิ่งดี รวมไปถึงเนื้อหาที่เขียนลงใน Website ด้วย หากมีการนำเสนอ Content คุณภาพ ที่ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่ Present ได้ทั้งหมด จะทำให้ Google ชอบเพจของคุณขึ้นมาทันที และจะนำเพจของคุณไปแสดงร่วมกับคำค้นที่มี Competition ระดับไม่มากก่อน เมื่อ User เข้าอ่านเนื้อหาของคุณเป็นระยะเวลานานๆ อีกทั้งเว็บของคุณมีทราฟฟิคคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพจของคุณจะสามารถติดอันดับใน Keywords ที่มี Competition ขั้นสูงได้ไม่ยาก เพราะ Page Quality และ User จะ Drive อันดับ SEO ของคุณให้ขยับไปอยู่อันดับต้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องชอบเรื่องของ Links ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ในการทำ SEO ยุคนี้
7. A Well Cared for Maintenance and Updates อีกปัจจัยที่จะช่วยทำให้ Page ของเรามีคุณภาพในมุมมองของ Google คือ การดูแล Check สภาพเว็บ และการอัพเดทเว็บอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มคุณภาพของ Website มากกว่าเดิม หากแต่เว็บหลักที่คุณต้องหมั่นตรวจเช็คคุณภาพของเว็บและพากเพียรอัพเดทเนื้อหาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น คุณยังต้องทำสิ่งเหล่านี้กับเว็บรอง หรือแม้กระทั่งเว็บที่ทำหน้าที่เป็น Links ใหักับเว็บหลักด้วย ซึ่งมันจะทำให้อันดับ SEO ของคุณขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในเนื้อหาก่อนๆ ว่า ยุคนี้เราสามารถทำ SEO โดยอาศัยทราฟฟิคและการทำเว็บเพื่อผู้ใช้งานอย่างเดียวก็ได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องหาแบ็คลิงค์เข้าเว็บ ก็สามารถดันอันดับบนกูเกิลได้ ในขณะเดียวกันเราก็ยังสามารถสร้างแบ็คลิงค์คุณภาพดันอันดับบน Google Search ได้เหมือนกัน แต่ Time Line และความยั่งยืนของการทำ SEO โดยไม่เน้นการสร้าง Links จะเลิศกว่า ไม่ว่าเรื่องของช่วงเวลาในการดันอันดับ รวมไปถึงความยั่งยืนของอันดับที่ได้
3 อันดับของปัจจัยที่ใช้พิจารณาและประเมินการให้แต้ม Page Quality ในฐานะ Human Rater มีดังนี้
Page Quality Factor อันดับที่ 1 คือ Quality and Quantity of Main Content
แน่นอนว่า Quality and Quantity of Main Content มีผลต่อการจัดอันดับคุณภาพของเพจหรือ Website เป็นอันดับต้นๆ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการสร้างเว็บไซต์ คือ Content คุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เยี่ยมชมนั่นเอง ยิ่งเว็บมีจำนวนบทความคุณภาพจำนวนมากๆ ยิ่งส่งผลดีต่ออันดับเอสอีโอ อย่างรวดเร็ว
Page Quality Factor อันดับที่ 2 คือ Level of E-A-T of the page and the website
Factor ที่ส่งผลต่อคุณภาพของ Page รองลงมา คือ เรื่องของระดับคุณภาพของ E-A-T หรือการวัดคุณภาพของเพจ ด้วยการแยกแยะ Content ที่สร้างขึ้น ว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน รวมทั้งบทความเหล่านั้นเขียนโดยผู้ชำนาญการหรือไม่ แน่นอนว่า Google สนใจเว็บที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้รับประโยชน์จากการเข้าอ่านบทความเหล่านั้นนั่นเอง
Page Quality Factor อันดับที่ 3 คือ Reputation of the website
อันดับสุดท้ายที่จะชี้วัดว่า Page มีคุณภาพ นั่นก็คือ Reputation of the website หรือ ชื่อเสียงของเว็บไซต์ และต้องเป็นชื่อเสียงในด้านบวกอีกด้วย ซึ่ง Google จะตรวจสอบชื่อเสียงของเว็บไซต์ ส่วงหนึ่งมาจากการอ้างอิง Referral จากเว็บที่มีคุณภาพที่มีความเกี่ยวข้องกัน และไม่มีความจำเป็นต้องอ้างอิงด้วย Links เสมอไป อาจเป็น ชื่อ Website แบรนด์สินค้า หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับ Website ของเราก็ได้
2. Utility Rating
จุดประสงค์หลักของหน้าที่ Google Raters ก็เพื่อช่วยปรับปรุงให้ Search Engine Engine มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น Google พยายามจะแสดงผลการค้นหาที่ดีที่สุด และเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อ Searcher (ตามภาษาและตำแหน่งที่อยู่) ดังนั้น นอกเหนือจาก Page Quality Rating แล้ว อีกปัจจัยที่สำคัญก็คือ Utility Rating (แต้มคุณประโยชน์)
โดยค่าของคุณประโยชน์จะถูกประเมินออกมาในลักษณะที่ อ้างอิงกับ
1. คำที่ใช้ในการค้นหา (Search Query)
2. ความมุ่งมั่นของ Searcher (User Intent)
และโฟกัสไปที่หน้าของ Serps (หร
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
รูปภาพที่เกี่ยวข้องวิธีเขียนบทความคุณภาพทางด้าน SEO สนับสนุน Google Panda 4.2
วิธีเขียนบทความคุณภาพทางด้าน SEO สนับสนุน Google Panda 4.2อ้างอิงจาก: รับทำ SEOแท็ก: รับทำ SEOวิธีเขียนบทความคุณภาพทางด้าน SEO สนับสนุน Google Panda 4.2
หมวดหมู่: Search Engine Optimizationหน้าหลัก: http://www.cmseogroup.comรายละเอียดสินค้า: http://www.cmseogroup.com/SEO-Servicesติดต่อเรา: http://www.cmseogroup.com/Contact-Usชื่อ: CM SEO Group (ซีเอ็ม เอสอีโอ กรุ๊ป)ที่อยู่: เชียงใหม่เบอร์โทรติดต่อ: 062-3639429อีเมล์: cmseogroup@gmail.com