กูเกิลและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เผย มีจำนวนผู้ใช้อย่างน้อย 5% ที่มีการเข้าใช้งานเว็บไซต์และบริการของกูเกิล จะต้องเคยเผชิญหน้ากับ Ad injector บนเครื่องคอมพิวเตอร์มาแล้ว หลังกูเกิลได้รับเสียงร้องเรียนกว่า 100,000 ครั้งจากผู้ใช้ Chrome ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยระบุว่า การถูก Ad injector นั้นมันทำให้เครื่อข่ายทำงานผิดพลาด รวมถึงเกิดปัญหากับประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์ด้วย ทั้งนี้ Ad injectors ถูกอธิบายโดยกูเกิลว่า เสมือนเป็นโปรแกรมหนึ่งที่มีการแทรกโฆษณาหรือแอบแทนที่หน้าเพจเดิมที่มีอยู่ขณะที่ผู้ใช้กำลังท่องเน็ต ซึ่งความร้ายแรงของมันก็คือ ยากแก่การลบทิ้ง รวมถึงยังทำให้การทำงานเกิดความผิดพลาดด้วย คล้ายๆ กับ Superfish ก่อนหน้า และจากการวิจัย กูเกิลพบว่า จำนวนครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง จะต้องมีอย่างน้อยที่เคยถูก injector แฝงติดตั้งในเครื่องถึงสองครั้ง และเกือบทุกคนในกลุ่มนั้น จะต้องเคยคลิกไวรัสแฝงชนิดนี้อย่างน้อยถึงสี่ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวน 5% ที่ระบุไว้จะเป็นตัวเลขที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งหมด แต่ถ้าหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า มีผู้ใช้กูเกิลในชีวิตประจำวันทุกวัน ดังนั้น ตัวเลขดังกล่าวก็ถือเป็นปัญหาใหญ่
และนั่นจึงทำให้ เซิร์จเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ใช้เวลาในการต่อสู้กับซอฟท์แวร์ที่ไม่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตาม กูเกิล ทิ้งท้ายว่า พวกเขาไม่ได้แบน injector ทุกตัว เนื่องจากมีบางคนต้องการที่จะใช้งาน นอกจากนี้ ทีมงานดังกล่าวยังค้นพบและลบทิ้งส่วนเสริมของ Chrome จำนวน 192 ตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ 14 ล้านคนด้วย
ที่มา TechSpot
ที่มา: pantip.com