หลุดรายละเอียด Apple Watch เพิ่มเติม ผ่านแอพฯที่ใช้งานร่วมกัน

[Nick]

แอพฯ iPhone ที่ใช้งานร่วมกับ Apple Watch เผยให้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้านาฬิกาอัจฉริยะที่มีคิวเปิดตัวในปีนี้

แม้จะมีคิวเปิดตัวในช่วงใบไม้ผลิปีนี้ สำหรับนาฬิกาอัจฉริยะของผู้ผลิตรายใหญ่ แอปเปิล ที่หลายๆคนต่างกำลังเฝ้าจับตามอง แต่รายละเอียดของเจ้า Apple Watch ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยมากเท่าไรนัก ล่าสุด มีแอพฯบน iPhone อ้างใช้งานร่วมกับ Apple Watch เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่อุปกรณ์จะทำงาน โดยซอฟท์แวร์ดังกล่าว จะให้เจ้าของสมาร์ทวอช สามารถจัดการตั้งค่าแอพฯและเชื่อมต่อกับ iPhone ได้

ซึ่งภาพถ่ายหน้าจอของแอพฯ Companion ได้รับการเปิดเผยโดย 9to5Mac เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เผยให้เห็นคุณสมบัติที่สำคัญหลายอย่าง เช่น ความสามารถในการปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกา หรือ Monogram ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มชื่อ(ย่อ)ของคุณเข้าไป โดยการใส่ตัวอักษรเข้าไปได้สูงสุด 4 ตัวอักษร, เมื่อ iPhone ของคุณได้รับการแจ้งเตือนใหม่ จะมีปุ่มสีแดงปรากฎบนตัวนาฬิกา และคุณสามารถติดตามหุ้นได้โดยการเฝ้าดูบนหน้าปัดนาฬิกา เป็นต้น

และเนื่องจาก Apple Watch ไม่ได้มีแป้นพิมพ์เสมือน ผู้ใช้สามารถโต้ตอบข้อความได้โดยการใช้เสียงแทน โดยคุณสามารถเลือกตั้งค่าการตอบกลับข้อความ และเลือกไม่รับการแจ้งเตือนข้อความได้ด้วย ทั้งจากทุกคนที่ส่งเข้ามาหรือเฉพาะแค่บางคน นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติ VoiceOver ไว้สำหรับอ่านข้อความที่ปรากฎบนหน้าจอให้ฟัง และความสามารถในการซูมหน้าจอโดยการแตะที่หน้าจอ 2 ครั้ง รวมถึงสามารถเลื่อนไปมาได้โดยใช้นิ้ว 2 นิ้ว

ในด้านการรักษาความปลอดภัย คุณสามารถตั้งรหัสผ่านเป็นตัวเลข 4 หลัก เช่นเดียวกับ iPhone และ iPad โดย passcode จำเป็นต้องใช้งานร่วมกับ Apple Pay ซึ่งจะมีตัวเลือกให้เราตั้งค่าว่าจะลบข้อมูลออกไปจากนาฬิกาหรือไม่ เมื่อป้อนรหัสผิด 10 ครั้ง สำหรับคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย สามารถกำหนดคุณสมบัติเฉพาะได้ เช่น แจ้งเตือนระยะเวลาที่คุณนั่ง หรือ มีกิจกรรมเท่าใดที่คุณทำสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่ง โดยคุณสามารถเปิดการติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อคำนวนจำนวนแคลอรี่ที่ต้องได้รับการเผาผลาญได้อีกด้วย

และความสามารถสุดท้าย ที่แสดงให้เห็นพื้นที่จัดเก็บที่ใช้งานได้ รวมถึงแสดงจำนวนเพลง, รูปภาพ และแอพฯที่มีอยู่ โดยคุณสามารถจัดการแอพพลิเคชั่นทั้งหมดได้จากหน้าจอหลัก (Homescreen)

ที่มา CNET

ที่มา: pantip.com