ซัมซุง (Samsung) เจ้าพ่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แดนกิมจิเปิดตัวแท็บเล็ตตระกูลใหม่ "แกแล็กซี่ แท็บ เอส (Galaxy Tab S)" แจ้งเกิดหน้าจอ 2 ขนาด 8.4 นิ้วและ 10.5 นิ้ว โดยทั้ง 2 ขนาดมีความละเอียดหน้าจอเท่ากัน 2560x1600 พิกเซล งานนี้ซัมซุงการันตี Tab S มีน้ำหนักเบากว่าคู่แข่งอันดับหนึ่งอย่างไอแพด (iPad) คิววางตลาดคือกรกฎาคมนี้
ความละเอียดหน้าจอ 2560x1600 พิกเซลนี้เป็นผลจากการใช้หน้าจอความละเอียดสูงเทคโนโลยี Super AMOLED ซึ่งซัมซุงต้องการชูเป็นจุดเด่นให้แท็บเล็ตตระกูล Galaxy Tab S สามารถดึงดูดใจผู้ใช้ที่หลงใหลหน้าจอของ iPad รุ่นล่าสุด จุดนี้ ดีเจ ลี (DJ Lee) ประธานฝ่ายขายและการตลาดของซัมซุงระบุบนเวทีเปิดตัว Tab S ที่นิวยอร์กช่วงเย็นวันที่ 12 มิถุนายน (ตรงกับเช้าวันที่ 13 มิถุนายนในประเทศไทย) ว่า Tab S จะยกระดับประสบการณ์การชมภาพบนแท็บเล็ตของผู้ใช้ทั่วโลก เทคโนโลยี Super AMOLED ทำให้แท็บเล็ตตระกูลใหม่อย่าง Tab S สามารถแสดงสีและความต่างสีได้อย่างคมชัดกว่าเดิม ซึ่งทางทฤษฎี หน้าจอของ Tab S นั้นเหนือกว่าหน้าจอใน iPad Air และ iPad mini รุ่น Retina ที่แสดงผลละเอียด 2048x1536 เท่านั้น จุดนี้ไมเคิล แอบารี (Michael Abary) รองประธานอาวุโสของซัมซุงภูมิภาคอเมริกาเหนือยืนยันบนเวทีว่า สีแดง-เขียว-ฟ้าบน Tab S นั้นจะสดสว่างกว่าหน้าจอแอลซีดี (LCD) ทั่วไปด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้ ซัมซุงระบุว่า Tab S ทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมคุณสมบัติชื่อ "อแดปทีฟ ดิสเพลย์ (Adaptive Display)" ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าหน้าจอให้อัตโนมัติตามแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้เปิดใช้งาน โดยเบื้องต้น แท็บเล็ต Tab S จะถูกตั้งค่าอัตโนมัติเมื่อใช้งานแอปพลิเคชันที่มาพร้อมกับเครื่อง ได้แก่ แอปพลิเคชันสำหรับการชมภาพยนตร์ แอปสำหรับการชมภาพ แอปสำหรับการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรืออีบุ๊ก แอปสำหรับการคุยโทรศัพท์ผ่านวิดีโอ (วิดีโอคอลล์) แอปพลิเคชันสำหรับถ่ายภาพ และแอปพลิเคชันเบราว์เซอร์สำหรับการท่องอินเทอร์เน็ต
คุณสมบัติ Adaptive Display ไม่เพียงปรับค่า gamma, contrast และ saturation ให้อัตโนมัติตามแอปพลิเคชัน แต่ยังทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับความสว่างตามสภาพแวดล้อมของผู้ใช้ได้ด้วย โดยระบบจะเพิ่มความสว่างและปรับค่าสีเพื่อให้ผู้ใช้เพลิดเพลินกับหน้าจอได้สะดวกตามสถานการณ์รอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากหน้าจอ ซัมซุงเชื่อว่าขนาดและน้ำหนักของ Tab S จะสร้างจุดต่างให้แท็บเล็ตซัมซุงเหนือกว่าคู่แข่ง โดยรุ่น Galaxy Tab S 8.4 (รองรับ WiFi เท่านั้น) มีน้ำหนัก 294 กรัม ซึ่งเบากว่า iPad mini with Retina display ราว 37 กรัม ขณะที่รุ่น Galaxy Tab S 10.5 (รองรับ WiFi เท่านั้น) มีน้ำหนัก 465 กรัม ซึ่งเบากว่า iPad Air ราว 4 กรัม
Tab S ทั้ง 2 ขนาดมาพร้อมความหนาเครื่อง 6.6 มม. ถือว่าบางกว่าเมื่อเทียบกับ iPad Air และ iPad Mini ที่บาง 7.5 มม. โดยซัมซุงยังยืดมั่นกับการใช้พลาสติกเป็นฝาหลังใน Tab S แต่มีการเพิ่มเวอร์ชัน "bronze version" ซึ่งทำให้ Tab S ดูพิเศษขึ้นเหมือน Galaxy S5
ระบบปฏิบัติการใน Tab S ทั้ง 2 ขนาดคือ Android 4.4 ขุมพลังสามารถเลือกได้ระหว่าง Exynos 5 ที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นเองโดยจัดเต็ม 4 คอร์ประมวลผลทำงานที่สัญญาณนาฬิกา 1.9GHz และ 1.3GHz หรือชิปควอดคอร์ Snapdragon 800 จากผู้ผลิตอย่างควอลคอมม์ (Qualcomm) ที่ทำงานในระดับ 2.3GHz
กล้องดิจิตอลด้านหลังใน Tab S ทั้ง 2 รุ่นมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 2.1 พิกเซล หน่วยความจำมีให้เลือกระหว่าง 16GB หรือ 32GB ขนาด RAM คือ 3GB พื้นที่เก็บข้อมูลสามารถขยายได้เต็มที่ 128GB ด้วยการ์ด microSD ขณะเดียวกันก็มีระบบสแกนลายนิ้วมือเช่นเดียวกับที่ซัมซุงเตรียมไว้ให้ใน Galaxy S5
ทั้งหมดนี้ทำงานบนแบตเตอรี่ขนาด 4,900 mAh (สำหรับ Galaxy Tab S 8.4) และ 7,900 mAh (สำหรับ Galaxy Tab S 10.5)
นอกจากเวอร์ชัน Wi-Fi แท็บเล็ตล่าสุดอย่าง Tab S มีวางจำหน่ายรุ่นรองรับ 4G LTE ทั้ง 2 ขนาด โดย Tab S 8.4 เวอร์ชัน Wi-Fi พร้อมหน่วยความจำ 16GB จะวางจำหน่ายที่ราคา 399 เหรียญสหรัฐ (ราว 12,770 บาท) ขณะที่ Tab S 10.5 จำหน่ายที่ราคาเริ่มต้น 499 เหรียญสหรัฐ (ราว 15,970 บาท) จุดนี้ซัมซุงระบุว่าจะเริ่มจัดส่ง Tab S ได้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม โดยเปิดให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯเริ่มสั่งจองได้แล้วในขณะนี้
ระดับราคาที่เทียบเท่ากับแท็บเล็ตแอปเปิลนี้ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าซัมซุงกำลังเร่งเครื่องเพื่อไล่บี้คู่แข่งโดยด่วน แถมการเปิดตัว Tab S ยังเป็นการขยายสายผลิตภัณฑ์กลุ่มแท็บเล็ตจากที่เคยมีทั้ง Galaxy Note Pro และ Tab Pro ทั้งหมดนี้ถือเป็นการกระตุ้นตลาดแท็บเล็ตที่น่าสนใจหลังจากสำนักวิจัยหลายแห่งเชื่อว่าตลาดแท็บเล็ตจะชะลอตัวในปีนี้
หนึ่งในนั้นคือไอดีซี ที่คาดว่ายอดจำหน่ายแท็บเล็ตตลอดปี 2014 จะอยู่ที่ระดับ 245.4 ล้านเครื่องเท่านั้น ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะแตะระดับ 260.9 ล้านเครื่อง โดยตัวเลขพยากรณ์นี้คิดเป็นอัตราเติบโต 12.1% เท่านั้น ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอัตราเติบโตของตลาดที่ทำได้มากกว่า 51.8% ในปี 2013 ที่ผ่านมา
ที่มา: manager.co.th