“โอริเวอร์ บีเวอร์” หอบสินสอดแต่งอดีตนางแบบ “ยี่หวา” บอกตนผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่รองจากแม่ก็มีผู้หญิงคนนี้ที่รักตนมากจนยอมแพ้ใจ แถมคบกันมา 5 ปีดวงเกื้อหนุนกันมาตลอด สัญญาจะทำวันนี้ให้ดีเท่าเมื่อวาน ด้านเจ้าสาวเผยใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเอาชนะใจแม่ฝ่ายชายได้ เตรียมฮันนีมูนยุโรป อีก 2 ปีค่อยมีลูก จูงมือแฟนสาว “ยี่หวา สุธาสินี ทองสาริกา” เข้าประตูวิวาห์เป็นที่เรียบร้อย สำหรับนักแสดงและผู้จัดละคร “โอริเวอร์ บีเวอร์” ที่ถือฤกษ์ดีเวลา 13.09 น.ของวันนี้ที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำพิธีหมั้น พร้อมกับจดทะเบียนสมรสในเวลาเดียวกัน โดยมีพ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่ายและญาติๆ ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งเจ้าบ่าวได้หอบสินสอดเป็นเงิน 900,000 บาท เช็คเงินสด 999,999 บาท ทองคำแท่งหนัก 60 บาท และเครื่องเพชรอีก 1 ชุด พร้อมหุ้นส่วนบริษัทมามอบให้เจ้าสาว ก่อนจะมีทำพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ในเวลา 14.39 น.บรรยากาศพิธีหมั้นเป็นแบบไทย เรียบง่าย ธีมงานโทนสีทอง
จากนั้นเวลา 18.00 น.ของวันเดียวกัน ได้มีงานฉลองมงคลสมรสขึ้น ที่ สโมสรทหารบก วิภาวดี มีดารามาร่วมงาน อาทิ พิงกี้ สาวิกา ไชยเดช, บอม ธนิน มนูญศิลป์, กบ ปภัสรา เตชะไพบูลย์ ,ไผ่ พาทิศ, อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม, นก อุษณีย์, เบนซ์ ปุณยาพร, แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ ที่ควงคู่มากับแฟนหนุ่ม สารวัตรหมี พ.ต.ต.ศักดิ์สุนทร เปรมานนท์ ทั้งนี้ก่อนที่พิธีการตอนเย็นจะเริ่มขึ้นบ่าว-สาวได้ควงกันออกมาเปิดใจว่า…
โอริเวอร์: “ต้องเล่าตั้งแต่แรกก่อนว่าจริงๆ แล้วผมไม่เคยคิดจะแต่งงานตั้งแต่เด็กๆ จนโต จนทำงาน คือคิดเสมอว่า
ไม่อยากมีครอบครัว ผมอยากอยู่คนเดียว อยู่กับแม่ผม ผมทำงานเล่นละครไป จนวันนึงผมมาเจอเขา เขาก็
เปลี่ยนความคิดผมได้ คือผมเองก็เคยมีแฟนมาเรื่อย ก็เป็นปกติของผู้ชายอายุเยอะขนาดนี้ (เจ้าชู้?) เฮ้ยไม่เจ้าชู้”
“เขาก็เปลี่ยนความคิดผมได้ คือเราคบกันได้ 5 ปี แล้ว 3 ปีก็เริ่มพูดเรื่องแต่งงาน แต่ก็ยังเฉยๆ คือแรกๆ มันเหมือนเป็นสตอรี่คือโคตรเหมือนละครเพราะแม่ผมกับเขาไม่ถูกกัน เหมือนตัวเองเล่นละครเลย มีทั้งเรื่องดราม่า เราก็เลยตั้งเป้าว่าถ้าสมมุติเขาเข้ากับแม่ผมไม่ได้ มันก็ไม่ได้ เพราะผมนับถือแม่ จนมาวันนึงซึ่งผมเองก็ไม่ได้บังคับด้วยนะก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต แล้ววันนึงเขากับแม่เข้ากันได้ดี ด้วยความพยายามของเขา เราก็โอเค จริงๆ เราก็ตั้งใจจะแต่งตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ผมติดเรื่องงานอะไรหลายๆ อย่าง มีละครที่ทำเรื่องแรกด้วย (เรื่องเนตรนาคราช) แล้วเขาก็เข้ามาช่วย ที่จริงก็เกือบถูกเลื่อนออกไปอีกเพราะละครก็เพิ่งเปิดกล้อง เราก็เอ๊า..แต่งก็แต่ง”
ด้านเจ้าสาวเผยใช้เวลาเป็นปีในการพยายามเข้าหาแม่ “โอริเวอร์” จนสามารถเอาชนะใจแม่ได้
ยี่หวา: “ก็พยายามเข้าใจผู้ใหญ่ ก็เป็นธรรมดาที่อาจมีน้อยใจ อยากให้ลูกเอาใจ หวาก็ต้องปรับคือทุกอย่างมันก็ต้องใช้เวลา แต่ไม่นานค่ะ ก็เป็นปี มีท้อบ้าง (มีข่าวถึงขั้นว่าจะเลิกเลย?) ก็ใช้ได้อยู่ แต่ด้วยความรักของพี่เวอร์ก็ทำให้หวาต้องหนักแน่น”
โอริเวอร์: “คิดดูความรู้สึกของผมในโมเมนต์นั้น ข้างขวาแม่ ข้างซ้ายแฟน คิดดูดิผมจะเอาไงดีวะ”
แล้วทำยังไงให้เขาแต่งงานทั้งที่ตอนแรกเขาไม่อยากแต่ง?
ยี่หวา: “ก็พยายามพูดให้เขาฟังว่าคนเราไม่สามารถแก่ตัวคนเดียวได้ ไม่สามารถตายคนเดียวได้ ก็ควรจะต้องมีคนดูแล มีครอบครัวมีลูกมีภรรยา”
โอริเวอร์: “คือผมแยกเป็น 2 ประเด็น เรื่องแรกคือรักที่เขามีให้ผมมากซะจนผมมีความรู้สึกว่า คือผมเคยผ่านผู้หญิงมาเยอะผมก็ยังไม่เคยเจอใครที่รักผมได้รองจากแม่ผมเท่าเขา คือเขาก็แสดงความรักแบบว่ามีผู้หญิงอย่างนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ สองเราคนไทยเราเชื่อเรื่องการอยู่ร่วมกันแล้วเสริมดวง คือตั้งแต่ผมรู้จักเขา ผมเป็นคนงานเยอะ แต่พอผมมารู้จักกับเขา ผมงานเยอะยิ่งกว่าเดิม มีบริษัทเพิ่มมากขึ้น”
“คือไม่ได้หมายความว่าเขามาช่วยเรื่องการเงิน คือเขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับบริษัทผมเลยนะ แต่คราวนี้ผมลองมาประมวลดูคือ การที่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันเข้าใจกันอยู่ด้วยกันโอเคแล้วมันเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องเสริมดวงซึ่งกันและกัน โอเคปีหมูปีเสืออยู่ด้วยกันแล้วเวิร์คนี่หว่า แล้วเราก็เริ่มประมวล 3-4 ปีที่ผ่านมา มันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนผมเองรับไม่ไหว เช่นใครจะไปรู้ว่าคนอย่างผมที่ไม่ได้เป็นพระเอกหรือมีชื่อเสียงอะไรมากใครจะรู้ว่าช่อง7 วันนึงเกิดความไว้วางใจให้ผมทำละครให้ช่อง7 เพราะฉะนั้นสิ่งที่มากขึ้นๆ จนรับไม่ไหว ผมต้องการคนมาช่วย ใครจะมาดูการเงินให้ผม”
“เขาก็เป็นคนนึงที่อยู่ในชีวิตเรา คือผมก็มานึกดูว่ามันไม่ได้แล้ว ผมยังต้องดำเนินการต่อไปคือมันก็ต้องจบลงตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เรียกว่าชีวิตคู่ ครอบครัว ผมก็เลยตัดสินใจ ตรงนี้คือมันเกิดขึ้นจริง ยิ่งเพื่อนๆ ในวงการก็ยิ่งสงสัยเพราะผมพูดมาตลอดว่าจะไม่แต่งงานเพราะผมมีความเชื่อเรื่องสถาบันครอบครัวที่ไม่ยั่งยืน แต่งไปเดี๋ยวก็เลิก แต่งแล้วมีลูก ลูกไม่ดีพ่อแม่เลิกกันอะไรแบบนี้ เพราะผมมีความคิดแบบนี้มาตลอด แต่ก็แปลกที่สุดท้ายผมจบลงด้วยวิธีธรรมชาติความรักที่มาจากเขา”
รับทำการ์ดเสร็จไม่ทัน
โอริเวอร์: “คือมันเป็นความผิดผมเอง ผมคิดว่าแค่เดือน 2 เดือน เพื่อนฝูงโทร.หากันแป๊บๆ คือถ่ายละครมันหนักไง อย่างที่บอกมันเป็นละครเรื่องแรกที่เป็นผู้จัดไง คือมันหนักจนเรา 2 คนแทบไม่มีเวลา คือผมก็เจริญรอยตามรุ่นพี่นะ คือเมียถือตังค์เวิร์คสุดแล้ว คือมันจะหาใครมาถือล่ะ เขาก็เข้ามาช่วยจนตอนนี้เขาเก่งแล้ว”
พร้อมเผยถึงบรรยากาศงานหมั้นรวมถึงสิ้นสอดว่า…
โอริเวอร์: “งานหมั้นช่วงเช้าโคตรเมื่อยก้นเลย ก็มีพิธีรดน้ำสังข์ตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย สินสอดก็ประมาณนึงครับ มีเงินสด 9 แสน มีเช็คที่ตีชื่อเขา 999,999 บาท ทอง 60 บาท และเครื่องเพชร 1 ชุด แหวน 1 วง และก็แถมหุ้นส่วนบริษัทให้ที่ผมก่อตั้งมา”
ยังไม่มีลูกเพราะติดละครที่ตนเองเป็นผู้จัดยังไม่ปิดกล้อง อีกทั้งภรรยาต้องจัดการเรื่องการเงินทั้งหมดของตน ถ้าท้องกลัวจะสูญเสียกำลังสำคัญในการทำงาน
โอริเวอร์: ยังครับ ยังไม่มีเพราะถ้ามีตอนนี้เสร็จเลย เพราะยังติดงานละครที่ค่อนข้างใหญ่ ก็จำเป็นเพราะเป็นละครเรื่องแรกของผม ถ้าเขาตั้งครรภ์ผมจะสูญเสียกำลังสำคัญไปทันทีเพราะเขาจะดูคอยจัดแจงการเงินทั้งหมด ก็ขอสักปี 2 ปีก่อน”
ยี่หวา: “ฮันนีมูนตั้งใจว่าจะไปช่วงสงกรานต์ น่าจะเป็นช่วงที่ไม่น่ามีกอง ถ้าไม่ผิดแผนนะ ก็ตั้งใจว่าจะไปยุโรปกันว่าจะไปแบบแบ็คแพ็คกัน 2 คน ไม่รู้จะไหวเปล่า ก็กะไปสัก 10 วัน”
ไม่มีปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัย แม้จะห่างกันถึง 14 ปี
โอริเวอร์: “ไม่มีเพราะผมติ๊งต๊องมากกว่า”
ยี่หวา: “ก็ไม่มีนะคะเพราะพี่เวอร์ชอบทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา น่ารัก เดี๋ยวนี้ก็ทำตัววัยรุ่นขึ้น ใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟ ขากระบอก จากเมื่อก่อนแต่งตัวเชยๆ ตอนนี้ก็ทันสมัยขึ้น”
โอริเวอร์: “คือผมอยู่อย่างเพื่อน อย่างพี่ อย่างพ่อ อย่างแฟน คือถ้าสมมติว่าอยู่ด้วยกัน 2 คนผมจะไม่มีคำว่าเหงาโหยหาเพื่อนเพราะเราวางตัวแบบในหนึ่งวันเราเป็นแฟนด้วย เป็นเพื่อนด้วย เป็นพี่ด้วย ด้วยอายุที่มากกว่าซึ่งบางเรื่องที่เราต้องตัดสินใจคือมันจะมีหลายอารมณ์อยู่ในเวลาเดี๋ยวกันเพราะฉะนั้นจะไม่มีคำว่าเบื่อ แต่คำว่าผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าผมได้เปรียบนะ ตรงที่ผ่านโลกมาเยอะเพราะอะไรที่ผู้หญิงบอกเรื่องใหญ่ แต่ผู้ชายบอกเรื่องเล็ก แต่ถ้าเป็นผมอะไรที่ผู้หญิงบอกเป็นเรื่องใหญ่ ผมทำเป็นเรื่องใหญ่ตามได้ แต่ผมก็ยังคิดเป็นเรื่องเล็ก สมมติว่าบางคนเยอะ เขาอาจจะเยอะและเรียกร้องสิ่งที่เขาขาด ถ้าเป็นผู้ชายวัยธรรมดาอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วต้องทะเลาะกันแต่นี่เก๋าไง เราก็เลยประคองประคองกันมา”
แม้ฝ่ายชายจะลุกส์ดูเจ้าชู้แต่เจ้าสาวยืนยันไม่จริง
ยี่หวา: “พี่โอริเวอร์ไม่เจ้าชู้เลย น่ารัก โทรศัพท์ไม่เคยปิดเสียง ไม่เคยมีผู้หญิงโทร.มา มีแต่ข้อความมาหา (หัวเราะ)”
โอริเวอร์ : “ไอ้ที่เขาบอกไม่เคยปิดเสียงอันนี้เรื่องจริง เพราะว่าลองกลับไปคิดดูทุกคนนะ ผู้ชายกลับไปคิดถึงผู้หญิง ผู้หญิงกลับไปคิดถึงผู้ชาย ไอ้ศัตรูตัวฉกาจในเรื่องของความแตกร้าวระหว่างคู่รักนี่ก็คือเจ้าเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือนี่แหล่ะ อยู่กับเราแล้วเปิดสั่น อยู่กลางคืนแล้วปิดเสียง ในเรื่องนี้ผู้หญิงจะมีสัญชาติญาณมากกว่าผู้ชาย ถูกไหมครับ ผู้หญิงจะมีเซ้นส์จับคลื่นความถี่ จับพิรุธได้ดีกว่าผู้ชาย 5 เท่า พฤติกรรมที่ทำอะไรไม่เป็นประจำ ผู้หญิงจะจับพิรุธได้เร็วกว่าผู้ชาย เพราะผู้ชาย จะไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้”
“ผมบอกเลยถ้าอยากรู้ถามผม ถ้าไม่พอใจโทร.ไปถามเอง โทรศัพท์ผมจะไม่เคยปิดเสียง อยากดูอยากไลน์อะไร เช็กเลย จบฉะนั้นไม่มีปัญหา โทรศัพท์เครื่องที่ 2 หาเจอไหม มีหรือเปล่า (หัวเราะ) ไม่มี อันนี้พูดเล่น ฉะนั้นบทพิสูจน์อย่างนึงที่ทำให้เขามั่นใจคือผมไม่มีอะไรซ้อนเร้น คนที่มีความลับซ้อนเงื่อนของผู้ชายมันจะอยู่ในโทรศัพท์หมดแหล่ะ”
คำมั่นสัญญาที่มีให้คือจะทำวันนี้ให้ดีเท่าเมื่อวาน
โอริเวอร์ : “ผมจะทำวันนี้ให้ดีเท่ากับเมื่อวาน แต่ผมจะไม่เตรียมตัวทำวันพรุ่งนี้ให้ดีเหมือนวันนี้ เพราะถ้าผมบอกอย่างนั้น ผมเป็นเทพ แต่ความเป็นจริงเราไม่ได้หยั่งรู้ฟ้าดิน แต่สิ่งที่ผมจะทำก็คือ ทำวันนี้ให้ดีเท่ากับเมื่อวาน หากผมทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ว จากวันก็จะกลายเป็นเดือน จากเดือนก็จะกลายเป็นปี จากปีก็จะเป็นหลายปี”
“แต่ผมจะไม่บอกหรอกว่ารักเขาจนตายเพราะเขาอาจจะตายก่อนผมก็ได้ หรือผมอาจจะตายก่อนเขาก็ได้ ผมว่ามันเป็นคำที่อุปโลกน์กันขึ้นมา แต่สิ่งที่ผมจะทำก็คือทำในสิ่งที่ผมทำให้เหมือนกัน วันนี้แถลงข่าวเสร็จยังไงผมก็จะเป็นของผมเหมือนกับเมื่อวาน คือทำดีกับเขา มันก็เหมือนกับที่คนเราต้องแปลงฟันวันละ 2 ครั้ง บางวันคุณรีบคุณอาจจะลืม แต่สุดท้ายคุณก็ต้องแปลงฟันทุกวัน ซึ่งผมก็จะทำแบบนั้น”
ยี่หวา : “ไม่เคยสัญญาอะไรกับพี่โอเลย มีแต่พี่โอที่สัญญากับเรา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจคือที่เขาบอกเราว่าเขาจะทำให้เราหัวเราะได้ทุกวัน พยายามทำพรุ่งนี้ให้เหมือนวันนี้”
เผยถึงวินาทีที่จดทะเบียนสมรสกันทำให้เข้าใจคำว่าทองแผ่นเดียวกัน
ยี่หวา: “เราเข้าใจความรู้สึกเลยว่าทองแผ่นเดียวกันมันเป็นยังไง ซึ่งตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นของพี่เขาแล้ว คือมีหมอดูทำนายว่าถ้าเปลี่ยนนามสกุลเป็นของพี่เขาจะรวย (หัวเราะ)”
โอริเวอร์: “มีเรื่องขำตอนนายทะเบียนเขาถามว่า สินสมรสก่อนแต่งกับหลังแต่งจะระบุหรือไม่ ซึ่งฝ่ายน้องเขาก็ตอบทันที เลยว่าไม่ระบุค่ะ(หัวเราะ) สำหรับพิธีงานแต่งในช่วงเช้าความรู้สึกผมรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์ จะทำอะไรก็ให้นึกถึงวันนี้ ก็เป็นคำที่เป็นเรื่องจริงครับ เรื่องขอแต่งงานเราก็คุยกันมาตลอด หาฤกษ์หาอะไรมาเรื่อยๆ แต่เมื่อปีที่แล้วติดละครเลยยังไม่ได้เริ่มก็ยืนยันครับ ถ้าคู่ผมเป็นตัวอย่างได้ ก็สัญญาที่จะทำให้วันนี้ดีเท่าเมื่อวานและพรุ่งนี้ให้ดีเท่าวันนี้ครับ ทำซ้ำไปซ้ำมาตลอดชีวิต ถ้าความรักทุกคู่บนโลกเกิดจากความเข้าใจกันทุกอย่างมันก็จะมาครับ”
เจ้าบ่าวเชื่อเรื่องดวงมาก ถึงขนาดเปลี่ยนตัวอักษรในชื่อ
โอริเวอร์ : “อ๋อครับ คือก็เปลี่ยนจาก ล.เป็น ร.ครับเมื่อ 5-6 ปีก่อน มีคนมาทักว่าชื่อปัจจุบันว่าทำอะไรจะติดๆ ขัดๆ ถ้าเปลี่ยนจาก ล.มาเป็น ร.เขาบอกว่าถ้าเปลี่ยนจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เราก็ตกใจแต่ก็ลองเปลี่ยนดู ก็ดีจริงๆ นะ จากที่ผมเล่นละคร ตอนนี้เราก็มีถึง 6 บริษัท มีบริษัทแม่ชื่อไนน์บีเวอร์ มีบริษัท ปืน แอมบูแลนส์ บริษัทสอนสตั้นท์ อะไรอีกหลายอย่าง คาดว่าอีก 3 ปีจะทำให้ครบ 9 บริษัท”
ที่มา: manager.co.th