Author Topic: ซัมซุงกำไรหด โนเกียยอดขายตก ไมโครซอฟท์ยังกำไรพุ่ง  (Read 637 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


     ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของเกาหลีใต้อย่างซัมซุง (Samsung) ประกาศตัวเลขกำไรสุทธิลดลงครั้งแรกในรอบ 2 ปีตั้งแต่ปี 2011 ผลจากการแข่งขันรุนแรงในตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ทำให้การเติบโตของซัมซุงอาจช้าลงในปีนี้ ด้านโนเกีย (Nokia) ประกาศตัวเลขยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนลดลง 7% ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยังยิ้มได้เพราะกำไรในภาพรวมยังเติบโตโดยเฉพาะธุรกิจฮาร์ดแวร์
       
       ผลประกอบการเหล่านี้เป็นตัวเลขจากการดำเนินงานช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาจับจ่ายในเทศกาลหยุดยาวปลายปี
       
       ***ซัมซุงเริ่มเซ็ง
       
       กำไรที่ลดลงของซัมซุงนั้นเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับยอดขายที่ซัมซุงทำได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2013 โดย 3 เดือนถัดมาซัมซุงสามารถทำกำไรสุทธิ 7.3 ล้านล้านวอน (ราว 2.24 แสนล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่าที่เคยทำได้ในไตรมาส 3 ของปี 2013 ถึง 11% แต่ยังคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าไตรมาส 4 ปี 2012 ราว 4%

     กำไรลดลงไม่ได้แปลว่าซัมซุงขายสินค้าได้น้อยลง เพราะในมุมยอดจำหน่ายรวม ซัมซุงระบุว่าสามารถโกยเงินมากกว่า 59.3 ล้านล้านวอน ซึ่งเหนือกว่าไตรมาส 3 ปี 2013 ที่ขายได้ 59.1 ล้านล้านวอน แต่ด้วยต้นทุนด้านการตลาดและค่าใช้จ่ายทั่วไปที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มขึ้น (เช่น ค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงาน ค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทาง) ทั้งหมดนี้ทำให้ซัมซุงมีกำไรที่ลดลงไปโดยปริยาย
       
       เฉพาะแผนกธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไอทีและการสื่อสาร กำไรของซัมซุงจากธุรกิจนี้ลดลงจาก 6.7 ล้านล้านวอนในไตรมาส 3 ของปี 2013 เหลือ 5.5 ล้านล้านวอนเท่านั้น ทั้งหมดเป็นไปตามรายงานที่ซัมซุงเปิดเผยต่อผู้ถือหุ้นในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นซัมซุงยอมรับว่ายอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนในไตรมาส 1 ปี 2014 อาจลดลงเพราะเป็นไปตามกลไกความต้องการของตลาดช่วงไตรมาส 1 ที่มักมียอดจำหน่ายไม่หวือหวาอยู่แล้ว
       
       ***โนเกียยอดขายฮวบ
       
       โนเกีย อดีตเจ้าพ่อตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งขายกิจการโทรศัพท์มือถือให้บริษัทอเมริกันอย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) ด้วยราคา 7.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประกาศว่า ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของบริษัทในไตรมาส 4 ปลายปี 2013 ที่ผ่านมานั้นลดลง 29% ทำให้สถิติขาดทุนจากการดำเนินงานของแผนกนี้มีมูลค่ามากกว่า 201 ล้านยูโร (ราว 9.04 พันล้านบาท)


      ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือโนเกียในไตรมาสที่ผ่านมามีมูลค่าราว 2.6 พันล้านยูโรเท่านั้น (ราว 1.1 แสนล้านบาท) แต่หากคำนวณเฉพาะสมาร์ทโฟน จะพบว่ายอดขายสมาร์ทโฟนโนเกียลดลงมากกว่า 7% เหลือ 8.2 ล้านเครื่องเท่านั้น (จากทั้งปี 2013 ที่มียอดจำหน่าย 30 ล้านเครื่อง) แม้ว่าโนเกียสามารถขายสมาร์ทโฟน Lumia ได้มากขึ้นช่วงเทศกาลหยุดยาวปลายปีที่ผ่านมา
       
       หากไม่นับรวมธุรกิจโทรศัพท์มือถือ โนเกียจะขาดทุน 25 ล้านยูโร (ราว 1.1 พันล้านบาท) ทั้งที่ไตรมาส 4 ปี 2012 โนเกียสามารถทำกำไรมากถึง 193 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลอดเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2013 โนเกียมีรายได้รวมลดลงถึง 21% เหลือ 3.5 พันล้านยูโร
       
       สิ่งที่นักวิเคราะห์จับตาเป็นพิเศษคือ ผลประกอบการไตรมาสนี้ถือเป็นไตรมาสสุดท้ายที่โนเกียจะคำนวณผลประกอบการจากธุรกิจโทรศัพท์มือถือร่วมด้วย เนื่องจากโนเกียต้องโอนกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ไมโครซอฟท์ตามสัญญาที่ทำการซื้อขายไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
       
       ***ไมโครซอฟท์ยังยิ้มได้
       
       ไมโครซอฟท์เปิดเผยว่าสามารถทำกำไรมากกว่า 6.56 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผลจากยอดจำหน่ายที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในธุรกิจซอฟต์แวร์และงานบริการไอที โดยเฉพาะเครื่องเกมเอ็กซ์บอกซ์ (Xbox) และแท็บเล็ตเซอร์เฟซ (Surface) ที่พุ่งกระฉูดช่วงเทศกาล สำหรับแผนเปิดตัวซีอีโอคนใหม่ยังไม่มีการเปิดเผยใดๆ


    ไมโครซอฟท์ระบุว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 2.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2014 ส่งให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.8%
       
       ความน่าสนใจของไมโครซอฟท์ในไตรมาสนี้คือตัวเลขยอดจำหน่ายสินค้ากลุ่มฮาร์ดแวร์ที่แข็งแกร่ง เช่น เครื่องเกมที่จำหน่ายได้มากกว่า 3.9 ล้านเครื่อง เช่นเดียวกับแท็บเล็ตเซอร์เฟซที่จำหน่ายได้มากขึ้นกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมาถึง 2 เท่าตัว คิดเป็นรายได้รวม 893 ล้านเหรียญสหรัฐ
       
       ในมุมตลาดซอฟต์แวร์และงานบริการไอที พบว่ายอดขายลิขสิทธิ์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์แก่ผู้ผลิตพีซี (Windows OEM) ลดลงราว 3% สวนทางกับรายได้จากลิขสิทธิ์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน (Windows Phone) ที่เพิ่มขึ้น 50% ด้านผู้ใช้บริการโปรแกรมเอกสารออนไลน์ Office 365 Home Premium มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านคน

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)