หัวเว่ย ผู้จัดหาโซลูชันไอซีทีชั้นนำของโลก เผยผลประกอบการก่อนตรวจสอบประจำปี 2556 ยังแกร่ง ด้วยรายได้และยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมาหัวเว่ยสามารถทำยอดขายรวมได้ราว 238,000-240,000 ล้านหยวน (ราว 1.29-1.30 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าปีก่อนหน้าอยู่ 8% (หรือ 11.6% หากคำนวณในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) โดย เคธี เมิ่ง รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการเงินของหัวเว่ย ได้ระบุว่า บริษัทมียอดกำไรสุทธิในปี 2556 ราว 28,600-29,400 ล้านหยวน (ราว 155,000-159,000 ล้านบาท) ในขณะที่กระแสเงินสดและอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับเดิม ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ทำการปรับโครงสร้างการทำงานในบางด้านในปีที่ผ่านมาเพื่อลดความซับซ้อนด้านการบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ตลอดปี 2556 ที่ผ่านมาหัวเว่ยสามารถผลักดันการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจได้อย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครือข่ายโทรคมนาคม กลุ่มเอนเตอร์ไพรส์ หรือกลุ่มดีไวซ์ โดยสำหรับกลุ่มเครือข่ายโทรคมนาคมนั้น กว่า 75% ของรายได้มาจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมระดับ 50 อันดับแรกของโลก ส่วนอัตราส่วนรายได้จากบริการและผลิตภัณฑ์ประเภทซอฟต์แวร์ก็เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2555 เป็น 37% ในปี 2556 ในขณะที่กลุ่มธุรกิจดีไวซ์และเอนเตอร์ไพรส์นั้นก็มียอดขายที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาหัวเว่ยได้ลงทุนในด้านงานวิจัยและพัฒนาที่อัตราส่วนอย่างต่ำ 10% ของรายได้ในแต่ละปี ส่วนในปี 2556 ที่ผ่านมานี้บริษัทก็ลงทุนในด้านดังกล่าวไปเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 33,000 ล้านหยวน (ราว 178,000 ล้านบาท) หรือคิดเป็น 14% ของยอดขายรวม” ทั้งนี้ ปี 2556 ถือเป็นปีแรกที่หัวเว่ยได้ลงทุนในด้าน R&D เกินกว่า 1.77 แสนล้านบาท
การปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน และการลดค่าใช้จ่ายด้านการบริหารภายในและการทำงานทั่วไป ทำให้หัวเว่ยยังคงสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างภายในของกระบวนการต่างๆ ในหลายด้าน เช่นผังโครงสร้างผู้บริหารระดับสูง โครงการใหม่ๆ ที่ช่วยสร้างแรงผลักดันในการทำงานของพนักงาน การปรับเปลี่ยนให้ผู้บริหารในระดับล่างมีบทบาทและความรับผิดชอบกว้างขวางขึ้น และการพัฒนาศักยภาพของทีมงานภาคสนามให้สามารถทำการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้โครงสร้างการทำงานของหัวเว่ยหันมามุ่งเน้นงานในแต่ละโครงการมากขึ้น เมื่อรวมกับงบลงทุนด้าน R&D ที่สูงขึ้นแล้ว บริษัทจึงมีศักยภาพโดยรวมที่ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการบริหารและการทำงานทั่วไป
จากปี 2547 ถึงปี 2556 หัวเว่ยได้ลงทุนในด้าน R&D และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมแล้วทั้งสิ้น 153,900 ล้านหยวน (ราว 832,000 ล้านบาท) ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี 4G LTE หัวเว่ยก็ได้คว้ารางวัลจากเวทีต่างๆ มาครองอย่างมากมาย เป็นเครื่องการันตีถึงการประยุกต์ใช้นวัตกรรมใหม่อย่างสร้างสรรค์ และศักยภาพของบริษัทในการพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคมเพื่อการพาณิชย์ในระดับโลก นอกจากนี้ หัวเว่ยยังเป็นผู้บุกเบิกในด้านเทคโนโลยี 5G โดยบริษัทมีแผนที่จะลงทุนกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 19,600 ล้านบาท) ภายในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้านี้ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระดับ 5G ส่วนผลิตภัณฑ์คอร์เราเตอร์ 400G ของบริษัทก็ยังถือว่ามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย
เนื่องจากบริษัทมีนโยบายที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในอุตสาหกรรมไอซีที หัวเว่ยจึงได้คัดเลือกซัปพลายเออร์กว่า 389 รายทั่วโลก โดยใช้ผลงานและระบบการจัดการซัปพลายเออร์เป็นที่ตั้ง ในปี 2556 บริษัทได้ทำการชำระเงินล่วงหน้าให้เครือข่ายซัปพลายเออร์ทั่วโลกนี้ราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32,700 ล้านบาท)
“โลกดิจิตอลกำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน และในช่วงสิบปีข้างหน้านี้ เราทุกคนต่างก็จะหันมาใช้เวลามากขึ้นกับแอปพลิเคชันและบริการทางเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย ซึ่งก็จะส่งผลให้ตลาดมีความต้องการบริการด้านข้อมูลมากขึ้น และผู้ประกอบการหลายฝ่ายก็จะต้องเร่งพัฒนาระบบเครือข่ายและดีไวซ์ใหม่ๆ ขึ้นมาตอบสนองความต้องการตรงนี้ ในปี 2557 นี้เราก็ได้วางแผนงานทางธุรกิจและนวัตกรรมเอาไว้แล้ว และยังจะเดินหน้าปรับโครงสร้างการบริหารงานเพื่อลดความซับซ้อนลง และเสริมศักยภาพในการเติบโตระยะยาวตลอดช่วงสิบปีข้างหน้า”
ที่มา: manager.co.th