Author Topic: HDS มั่นใจทั้งปีโต 30% เพิ่มทีมงานรับ 3 ตลาดขยายตัว  (Read 572 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


นายมารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ HDS

ฮิตาชิเผยการทำตลาดเอ็กซ์เทอร์นัลดิสก์สตอเรจเติบโตขึ้น 47.7% สูงกว่าการเติบโตของตลาดรวม ส่วนธุรกิจโดยรวมคาดโตขึ้นประมาณ 30% ชี้ปีหน้าเตรียมเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโทรคมนาคม ธนาคาร สถาบันการเงิน และภาครัฐที่จะมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เผยเทรนด์ไอทีในปีหน้า บิ๊กดาต้า คอลลาบอเรชันแอนด์โมบิลิตี บิสิเนสคอนทินิวตี้ และคอนเวิร์ดอินฟราสตรักเจอร์ มาแรง
       
       นายมารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ HDS กล่าวว่า ผลประกอบการในครึ่งปีแรกของฮิตาชิในกลุ่มผลิตภัณฑ์เอ็กซ์เทอร์นัลสตอเรจประเทศไทยมีอัตราการเติบโต 47.7% โตกว่าภาพรวมของตลาดเอ็กซ์เทอร์นัลดิสก์สตอเรจที่มีอัตราการเติบโต 45.6% ส่วนธุรกิจภาพรวมของฮิตาชิทั้งบริษัทคาดว่าจะโตประมาณ 30% โดยรายได้ส่วนใหญ่ของฮิตาชิมาจากผลิตภัณฑ์การจัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก
       
       ทั้งนี้ ในปีหน้าฮิตาชิเตรียมเพิ่มบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโทรคมนาคม ธนาคารและสถาบันการเงิน และตลาดภาครัฐที่จะมีอัตราการเติบโตของข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เป็นไปตามเทรนด์ของตลาดทั่วโลกที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเพราะอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีการใช้งานข้อมูลที่เพิ่มขึ้น โดยนอกเหนือไปจาก 3 ตลาดดังกล่าวแล้ว ตลาดที่คาดว่ามีการใช้งานด้านข้อมูลมากขึ้นคือมีเดียและเอนเตอร์เทนเมนต์ โดยเฉพาะดิจิตอลทีวีที่กำลังจะมา ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการเตรียมลงทุนมากขึ้น
       
       ทั้งนี้ ไอดีซีได้ประเมินมูลค่าตลาดเอ็กซ์เทอร์นัลสตอเรจไว้ว่าในปี 2013 สำหรับประเทศไทยจะมีมูลค่าประมาณ 71.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2014 เพิ่มขึ้นเป็น 79 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2017 จะโตถึง 100.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉลี่ยแต่ละปีจะโตประมาณ 8.3% ทั้งนี้ แม้ไทยมีมูลค่าใกล้เคียงกับประเทศอินโดนีเซีย แต่หากมองเรื่องประชากรแล้วจะพบว่าประเทศไทยมีการใช้ที่มากกว่า เพราะเรามีประชากรน้อยกว่า รวมไปถึงภาคธุรกิจของไทยอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่อินโดนีเซียมีประชากรมากกว่าแต่ใช้งานใกล้เคียงกัน จึงยืนยันได้ว่าไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่า
       
       ทั้งนี้ สำหรับเทรนด์ไอทีในปีหน้านั้นเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญประกอบไปด้วย บิ๊กดาต้า คอลลาบอเรชันแอนด์โมบิลิตี บิสิเนสคอนทินิวตี้ และคอนเวิร์ดอินฟราสตรักเจอร์ ซึ่งฮิตาชิมองว่าสำหรับประเทศไทยนั้นแม้ว่าบิ๊กดาต้าจะมาแรงแต่การจัดการเรื่องข้อมูลมหาศาลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นคอลลาบอเรชันแอนด์โมบิลิตีและคอนเวิร์ดอินฟราสตรักเจอร์น่าจะมีบทบาทมากที่สุด เนื่องจากธุรกิจเทเลคอมและแบงกิ้งจะมีความต้องการมาก
       
       นายมารุตกล่าวว่า ปัจจุบันฮิตาชิมีโซลูชันที่สามารถบริหารจัดการข้อมูลให้แก่ธุรกิจต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ด้วยบริการบริหารข้อมูลแบบครบวงจรในการจัดสรรทรัพยากรไอที ทั้งแอปพลิเคชัน ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการบริการ โดยมีโซลูชันต่างๆ รองรับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Infrastructure Solution, Application Solution, IT Strategies Solution, Industries Solution
       
       “ฮิตาชิมุ่งเน้นความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ในช่วงที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าต้องการก้าวเข้าสู่เวอร์ชวลไลเซชันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากต้องการจะขึ้นไปสู่คลาวด์ในลำดับต่อไป นอกจากนี้ลูกค้าหลายรายยังมีความต้องการจัดการไฟล์ที่เป็นทั้งมีรูปแบบและไม่มีรูปแบบ รวมไปถึงการทำอนาไลติก และต้องสามารถทำการจัดการได้ด้วยระบบเดียว ไม่ซับซ้อน”
       
       ปัจจุบันฮิตาชิมีดิสทริบิวเตอร์เพิ่มขึ้นเป็น 4 ราย จากเดิม 3 ราย และพยายามที่จะขยายตัวไปยังตลาดต่างจังหวัดให้มากขึ้น การขยายตัวจะมุ่งหัวเมืองใหญ่เป็นหลักและใช้บิสิเนสพาร์ตเนอร์เป็นผู้ทำตลาด จากปัจจุบันการทำตลาดขณะนี้อยู่ในกรุงเทพฯ 90% ต่างจังหวัด 10% และในปีหน้าจะลดสัดส่วนในกรุงเทพฯ เป็น 85% และเพิ่มต่างจังหวัดเป็น 15%
       
       Company Related Link :
       Hitachi

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)