เลอโนโวปรับโครงสร้างโยกไทยติดกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หลังยอดขายกลุ่มคอนซูเมอร์พุ่งใกล้แซงหน้ากลุ่มองค์กร พร้อมยันเปลี่ยนซีอีโอ-แผนลดคนไม่กระทบไทย
นายฮาววี ลอร์ ผู้จัดการทั่วไป และผู้อำนวยการบริหาร เลอโนโว อาเซียน กล่าวว่า บริษัทได้ประกาศปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยรวมกลุ่มประเทศที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งไทยถือเป็นประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ "HARI" ที่ประกอบด้วย ฮ่องกง อาเซียน (รวมไทย) รัสเซีย และอินเดีย โดยมีผลตั้งแต่เดือน ก.พ. 2552
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับสภาพตลาดปัจจุบัน ซึ่งเลอโนโวได้รับผลกระทบระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมแผนลงทุนใหญ่ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในกลุ่มตลาดดังกล่าว ซึ่งจะประกาศอย่างเป็นทางการช่วงต้นเดือน เม.ย.นี้
พร้อมกันนี้ เขายืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงกลับมาเป็นชาวจีน และแผนลดคนทั่วโลก 2,500 คน ไม่กระทบไทยแน่นอน เนื่องจากไทยยังเป็นตลาดที่สามารถเติบโตได้สูงกว่าตลาดรวม โดยเฉพาะกลุ่มคอนซูเมอร์ ซึ่งเริ่มทำรายได้คิดเป็นสัดส่วนใกล้เคียงกับตลาดองค์กร ที่เป็นตลาดใหญ่ของเลอโนโวช่วงที่ผ่านมา
"การเปลี่ยนผู้บริหารครั้งนี้ เป็นเพราะคนเก่าหมดสัญญา 3 ปีพอดี ประกอบกับเลอโนโว มีแผนจะหันกลับมาโฟกัสกับตลาดฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตสูง เพราะคนเริ่มมีการศึกษาสูงขึ้น เริ่มมีบรอดแบนด์ใช้งานทั่วถึงมากขึ้น" นายลอร์กล่าว
นายลอร์ ระบุว่า ปีนี้เลอโนโว ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดโรงงานใหม่ในเม็กซิโก และโปแลนด์ เพื่อให้ใกล้กับตลาดในโซนนั้นๆ ส่วนไทยจะเน้นด้านการขายมากกว่า เนื่องจากมีโรงงานในประเทศใกล้เคียง และยังมีโอกาสการทำตลาดสูง อาทิเช่น องค์กรขนาดกลาง-เล็ก (เอสเอ็มบี) ที่มีเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ได้พยายามเจรจากับบริษัทแม่ เพื่อขยายตลาดโซลูชั่นสำหรับเชื่อมต่อการทำงานระหว่างพีซีของเลอโนโว และแบล็กเบอรี่ เข้ามาทำตลาดเอเชีย ซึ่งเริ่มมีการใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนที่มากขึ้น แต่คงไม่ทำตลาดมือถือในไทย เนื่องจากเป็นธุรกิจภายใต้บริษัทเลอโนโว คอมมูนิเคชั่น ที่ทำตลาดเฉพาะในจีนเท่านั้น
ทางด้านนายภิญโญ สงวนเศรษฐกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย (ฝ่ายคอนซูเมอร์) บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมชะลอตัวลงค่อนข้างมาก เนื่องจากนโยบายลดการลงทุนด้านไอที
ทั้งนี้ เลอโนโว ได้ปรับตัวโดยการเสนอแผนลิสซิ่ง ขยายอายุการรับประกันจาก 3 ปี เป็น 4-5 ปี และการขยายสินเชื่อจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทวางแผนขยายฐานลูกค้าในกลุ่มที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะภาคการศึกษา ราชการ กลุ่มสื่อสาร และเฮลธ์แคร์ ซึ่งยังมีแนวโน้มลงทุนกับไอทีค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ
"เราค่อนข้างทำได้ดีในตลาดเครื่องระดับ 25,000 บาทขึ้นไป ที่ใช้คอร์ทู และดูดัลคอร์ รวมทั้งปีนี้เรายังมีโฮม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เดสก์ทอป ราคาถูกกว่าคู่แข่งถึง 50% เข้ามาทำตลาด ส่วนกลุ่มเน็ตบุ๊ค หลังๆ ตลาดเริ่มโตช้าลง และเราก็ไม่ได้โฟกัสมาก แค่มีเป็นไลน์ อัพเท่านั้น เพราะสำรวจตลาดโดยรวมแล้ว เศรษฐกิจแบบนี้คนต้องการอะไรที่คุ้มค่าที่สุด ราคาต่ำ ฉะนั้นตลาดโน้ตบุ๊คระดับล่างน่าจะโตได้ดีกว่าเน็ตบุ๊ค" นายภิญโญกล่าว
ทางด้านเป้าหมายการเติบโตบริษัทตั้งไว้ในระดับสูงกว่าตลาดรวม โดยล่าสุดมีส่วนแบ่งตลาดพีซีโดยรวม เป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย สัดส่วน 18.3% จาก 18.2% เมื่อปีที่ผ่านมา
ที่มา: bangkokbiznews.com