“พีท ทองเจือ” กับมหัศจรรย์แห่งชีวิต ขับรถจนเกิดเป็นสมาธิ ศึกษาและพัฒนาจนกลายเป็นพลังจิตรักษาโรค เผยตระเวนตอนรักษาตามหมู่บ้านต่างๆ มาแล้วหลายปีไม่คิดเงิน พูดถึง “พีท ทองเจือ” หลายคนจะรู้จักว่าเป็นอดีตพระเอกชื่อดัง เป็นนักแข่งรถมืออาชีพ ที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร เป็นคนในวงการที่ไม่ชอบทำตัวเป็นข่าว แต่อีกด้านหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้จักนั่นก็คือ เจ้าตัวมีความสามารถพิเศษที่สามารถใช้ “พลังจิตรักษาโรค” ได้ โดยสิ่งนี้เริ่มต้นขึ้นจากการแข่งรถจนเกิดสมาธิจิตนิ่งเห็นร่างตัวเอง ต่อมาจึงศึกษาและสามารถใช้พลังงานนั้นรักษาคนป่วยได้ โดยซุ่มเงียบทำมาหลายปีแล้วไม่คิดเงินค่ารักษาแม้แต่บาทเดียว อะไรเป็นจุดพลิกผันให้เขาสนใจศาสตร์นี้ ศาสตร์นี้คืออะไร แล้วมันรักษาโรคได้จริงหรือ? พีทมีคำตอบให้ทั้งหมด
รู้จักการรักษาคนป่วยด้วยพลังจิต ซึ่งเขาเรียกมันว่า “แพทย์แผนอนาคต” “จริงๆ ผมทำมาหลายปีแล้ว สิ่งที่ผมทำอยู่เขาเรียกกันว่าเป็นแพทย์แผนอนาคต โดยวิธีใช้สภาวะจิตไปรักษาโรคต่างๆ มันเริ่มจากผมมีพื้นฐานคือเป็นคนที่ใช้ชีวิตปล่อยวางและไม่ยึดติดกับภาวะใดๆ ทั้งสิ้น แล้วผมพยายามตัดขาดจากการปรุงแต่ง ทางด้านความคิดและความรู้สึก เพราะว่ามันจะเป็นที่มาของความวุ่นวายในชีวิตต่างๆ พอเราเริ่มปฏิบัติ เริ่มเข้าใจลักษณะวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้ก็คือปล่อยวาง หรือที่เรียกอีกอย่างคือการยกระดับจิต พอเราไม่ยึดติดกับอะไร เราก็เริ่มเห็นหนทางที่มันสะอาดสดใสและบริสุทธิ์ในการดำรงชีวิต เพราะเราไม่มีอะไรมาแปดเปื้อนมาก พอคุณวาง ไม่ยึดติด และเช็คความว่างได้ แล้วถ้าคุณเป็นคนที่ถูกเลือกแล้วก็อาจจะทำอย่างที่ผมทำ ก็คือลักษณะแพทย์แผนอนาคตนี้ได้”
อัศจรรย์สุดๆ ค้นพบว่าตัวเองถอดจิตได้ตอนแข่งรถ “ผมเจอสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ตอนผมขับรถแข่ง คือแข่งยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ ทุกอย่างในตัวเรามันเหมือนยิ่งช้าลง เงียบและสงบ จุดพลิกสำคัญที่รู้ว่าตัวเองทำได้เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ขณะกำลังขับรถอยู่ แล้วเราก็เริ่มเห็น คือปกติขับก็ต้องมองทางใช่ไหมครับ ถึงโค้งเราก็เลี้ยว พอจะหยุดก็เบรก นั่นคือสิ่งที่มนุษย์เราทำปกติ แต่สิ่งที่เห็นก็คือเริ่มเห็นภาพมือกับขาเริ่มทำงานเอง ภาพมันก็เริ่มชัด เริ่มจะเห็น ผมก็เริ่มถอยมาแล้วก็เห็นเป็นภาพตัวเองกำลังขับ (เหมือนการถอดจิตใช่ไหม?) ครับก็คือลักษณะนั้น เขาจะเรียกว่าซ้อนขันธ์ เหมือนคนที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเยอะๆ เขาจะเห็นร่างตัวเองนั่ง แล้วก็เขาก็จะเห็นลูกแก้วอะไรประมาณนั้น”
“แรกๆ ก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงเห็นแบบนั้น ก็เลยไปปรึกษาพระ ปรึกษาผู้ที่ปฏิบัติธรรม เขาก็บอกว่าเป็นการซ้อนขันธ์ ก็คือเหมือนเราเข้าไปถึงจุดๆ นึงที่เราเข้าถึงสมาธิไปอีกระดับ ผมเห็นอย่างอื่นและรู้สึกถึงอย่างอื่นมากกว่าปกติ หลังจากนั้นก็เลยเริ่มศึกษาอย่างชัดเจนว่าอะไรยังไง ทำไมคนถึงซ้อนขันธ์ หลายๆ คนต้องใช้เวลานานมาก ต้องใช้เวลาปฏิบัติธรรมนานมาก ต้องนั่งสมาธิภาวนาเยอะมาก เพื่อที่จะมาถึงจุดๆ นี้ แต่ว่าผมขับรถมานาน จนเหมือนกันว่ามันเป็นความเคยชิน จนกระทั่งมันพัฒนาไปเป็นการซ้อนขันธ์ พอเริ่มเห็นอย่างนั้นบ่อย ผมก็เริ่มเอามาใช้ในการดำรงชีวิตแบบอื่น ก็คือแทนที่เราจะมาเป็นทาสของร่างกายเรา ก็เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า”
ใช้พลังจักวาลรักษา ไม่ใช่ไสยศาสตร์ “ที่ผมทำก็คือการซ้อนขันธ์ อธิบายให้เห็นภาพก็คือ ถ้าเรารักษาคน พอเขามานั่งตรงตรงหน้า ผมก็จะซ้อนออกมาดูตัวเอง แล้วก็คิดว่าถ้าใครที่เป็นพลังงานดีมาจากที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าทำบุญหรือร่วมบุญกันมา ก็ขอให้ช่วยบุคคลนี้ ก็คือทำใจให้สงบเหมือนถอดความรู้สึกออกไปจากตัวเรา วิธีการก็คือเราก็จะใช้ร่างเราเนี่ยเป็นตัวกลางที่ผ่านพลังงานที่ดีมาจากร่างกายเรา แล้วก็ออกไปหาผู้ป่วย พอทำเสร็จ ก็ให้ปล่อยวางไป แล้วเดี๋ยวข้างบนเขาจะส่งทุกๆ อย่างลงมาช่วย ข้างบนที่ผมหมายถึง ผมว่าน่าจะเป็นพลังงานบางอย่าง เมื่อก่อนนี้เขาจะเรียกว่าพลังงานจักรวาล เคยได้ยินไหมที่เขารักษาคน นั่นแหละคือลักษณะเดียวกัน แล้วก็แค่เพ่งสมมติว่าเจ็บข้อมือ ผมก็จะเพ่งไปที่ข้อมือ ส่วนมากที่เจอเขาก็จะร้อนวูบ ชา จากนั้นอาการก็จะดีขึ้น แล้วตอนที่ทำผมจะไม่คิดในลักษณะว่าจงให้เขาหายเจ็บ เพราะถ้าพยายามแล้วมันจะทำไม่ได้ มันจะไม่มีเอฟเฟกต์ เราแค่ทำใจให้สงบ เวลาที่ใจสงบ ถ้าเป็นตัวผม จิตมันก็จะแยกออกมาจากตัวของเราเอง แล้วเขาก็จะทำงานเอง”
“สมมติเขาหายใจไม่ค่อยคล่อง เราก็จะทำตัวเองให้สงบๆ นิ่งๆ แล้วแค่เพ่งความรู้สึกไปที่ตัว มันก็จะมีความรู้สึกเองว่า ตรงนี้เส้นเลือด ตรงนี้ที่หัวใจข้างบนมันมีการอุดตัน เราก็แค่รู้สึกว่ามันไม่คล่อง เราก็แค่พยายามให้ความรู้สึก พยายามไล่ให้เส้นเลือดพวกนั้นมันหายตีบ แล้วก็แค่นั้น เขาก็รู้สึกโล่งขึ้นหายใจคล่องขึ้ นี่เป็นตัวอย่าง ก็มีคนถามว่าเขาหายได้ยังไง เราก็บอกว่าไม่รู้ เมื่อกี้เราแค่ปล่อยผ่านความรู้สึกว่าเขาหายใจไม่คล่องออกไปผ่านจุดที่เขาเป็นเฉยๆ แต่มันทำได้ แต่อย่างพวกแผลไม่ใช่ทำแล้วหายปุ๊บเลยนะครับ แต่แผลมันยุบลงไป แผลมันจะค่อยๆ สมาน หรือว่าข้างในอย่างพวกตับ ไต ไส้ พุง อะไรทั้งหลายในร่างกาย”
“ไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่คล้ายๆ เป็นพลังงานจักรวาล สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้เข้าใจและพิสูจน์เองมันก็จะค่อนข้างเข้าใจยาก ผมไม่มีองค์ ไม่ได้เล่นของ พระก็ไม่ห้อย ไม่ได้มีกุมารทอง หรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้นจริงๆ มีรายการทีวีมาเชิญไปออกเยอะนะ รายการตีสิบก็เชิญไป แต่ว่าผมไม่ได้อยากทำตัวเด่น คือเราตั้งใจทำแบบบ้านๆ ช่วยคนพื้นๆ ดีกว่า การรักษาลักษณะนี้ผมคิดว่าอาจจำเป็นในอนาคต หลายคนลืมในเรื่องของภัยพิบัติในธรรมชาติ โดยเฉพาะภัยพิบัติในสังคมและจิตใจ ซึ่งภัยพิบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเด็นก็คือถ้าเกิดภัยพิบัติเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นมา ทั้งหมอกับโรงพยาบาลอาจจะไม่เพียงพอในการรักษา เพราะว่าในบางจุดอาจมีแค่โรงพยาบาลเดียว แต่คนเจ็บอาจจะมีเป็นร้อยเป็นพัน เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีการรักษาในลักษณะที่ ถ้าจะกินสมุนไพรอะไรพวกนี้ก็อาจจะรักษาไม่ทัน”
รักษาให้ฟรี การันตีหายทุกโรค “รักษาได้หมดทุกอย่างครับ ทุกชนิด แต่ว่าคือพื้นฐานของลักษณะของผู้ที่ถูกเรารักษาเนี่ย เค้าก็จะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเราระดับนึงด้วย ตอนแรกเราก็ไม่ได้มั่นใจ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าเราสามารถทำอะไร ไม่เคยคิด จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยคิดว่าทำได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เคยทำก็คือ เราก็ไปทดสอบนะครับ เราก็ไปตามหมู่บ้านต่างจังหวัด แล้วก็ไปอยู่ที่ศาลาวัด แล้วก็เชิญคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่สบายมารักษา มันก็ได้ผลดี แล้วก็ได้ผลเร็วครับ ยังไม่เคยมีเคสไหนที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมทำมาหลายปีหลายๆ ที่บางที่เขาก็อยากให้ไปก็จะส่งรถตู้มารับ เพราะว่าทำแล้วได้ผล บางที่ไม่ได้นอนเลย 2-3 คืน ก็คืออยู่ที่หมู่บ้าน คนที่หมู่บ้านก็จะออกมารักษากัน มานั่งต่อแถวกัน ผมไม่เคยคิดเงินนะครับ ช่วยจริงๆ”
เคยมีระดับด็อกเตอร์มาลองวิชา เจอของจริงถึงกับหงายเงิบกลับไป “ผมโดนลองวิชาหลายทีเหมือนกัน อย่างเคสนึงน่าจะปลายปีที่แล้ว เป็นรอง ศ.ดร.จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ท่านก็เป็นผู้หญิง ท่านก็บอกว่ามารักษาให้ฉันหน่อย ท่านก็บอกว่าฉันไม่บอกเธอนะว่าฉันเป็นอะไร ก็คืออยากจะรู้ว่าผมจะทำอะไร แล้วผมก็ไปนั่งแล้วก็นึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เราเคารพนับถือแล้วก็ สิ่งที่ช่วยเราทั้งแบบที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น ก็คือขอพลังงาน แล้วก็แค่หลับตาแล้วก็เพ่งเล็งไปที่ตัวท่าน ก็รู้ว่าเหมือนแถวข้างบนร่างกายทำงานติดๆ ขัดๆ ผมก็ใช้วิธีสแกนก่อน สิ่งที่ได้ยินนี่ไม่ได้มีคนพูด แต่มันมีความรู้สึกขึ้นมาว่า หัวใจ ผมก็เลยบอกว่า หัวใจครับ เค้าก็ตกใจ บอกว่าป้าผ่าหัวใจมา 3 รอบแล้ว แล้วมันก็ยังทำงานไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้ก็ร่างกายจะอ่อนเพลียเร็วแล้วก็ไม่มีแรง ผมก็แค่เพ่งอีกทีนึงแล้วก็บอกว่าระบบต่างๆ ที่มันทำงานไม่สัมพันธ์กัน ก็อยู่ในร่างเดียวกันทำงานร่วมกันดีกว่า อย่าแยกกันทำงาน เพราะว่าเจ้าของร่างเขาอยู่ค่อนข้างยาก ก็คิดลักษณะเชิงบวกแบบนี้แหละ เสร็จแล้วแกก็สูดลมหายใจลึกๆ ก็โล่ง ก็ดีขึ้น”
เชื่อคนที่ทำแบบนี้ได้คงสร้างบุญกุศลมา เพราะไม่ใช่จะทำได้ทุกคน “ผมว่ามันก็ต้องเป็นอะไรสักอย่างนึงนั่นแหละ ไม่งั้นคนทุกคนก็คงทำได้ ส่วนมากคนก็จะแปลกใจเพราะว่ามันได้ผล ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันฟังดูเข้าใจยากถึงไม่ค่อยอยากพูด ผมเคยจัดสัมมนาตามโรงแรมด้วย ผมก็จะทำกับ ดร.เทพพนม เมืองแมน เราก็จะบรรยายเรื่องต่างๆ แล้วก็จะมีคนมาฟัง แล้วก็มารับรักษา ผมตั้งใจทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่คิดเอามาทำเป็นธุรกิจ เพราะว่าที่ได้มาก็ไม่ได้ไปซื้อมา เราใช้ทุกอย่างจากตัวเรา จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้มาก แล้วก็ไม่ค่อยอยากแสดงตัวมากเพราะว่าไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนที่มีความพิเศษ หรือวิเศษกว่าคนอื่น เพียงแต่ว่าเราคิดบวก ทำดี ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นใครที่วิเศษ ผมแค่เอาสิ่งที่เรามีไปช่วยคนอื่นได้เท่านั้นเอง”
ที่มา: manager.co.th