แฟ้มภาพ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์เมื่อครั้งเปิดตัวระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เอ็กซ์พี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2001 ในงานเปิดตัวที่ย่านไทมสแควร์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาสถิติล่าสุดพบว่า ไทยมีคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เอ็กซ์พี 5.7 ล้านเครื่อง ไมโครซอฟท์เตือนคอมพิวเตอร์กว่า 5.7 ล้านเครื่องในประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะทั้ง 5.7 ล้านเครื่องคือคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เอ็กซ์พี (Windows XP) ที่ไมโครซอฟท์จะยุติการให้บริการในเดือนเมษายน 2014 หรืออีก 6 เดือนนับจากนี้ เตือนผู้ใช้อัปเกรดระบบปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และปัญหาอื่นๆที่อาจเกิดขึ้น คอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows XP ที่ติดตั้งในประเทศไทย 5.7 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 28% ของคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย จุดนี้ไมโครซอฟท์ระบุว่าได้แจ้งให้ธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในประเทศไทยที่มีคอมพิวเตอร์ที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP ได้ทราบแล้วว่า ไมโครซอฟท์จะหยุดการสนับสนุนและการให้บริการ ระบบปฏิบัติการ Windows XP อย่างเป็นทางการในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือในวันที่ 8 เมษายน 2557
"แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น แต่คอมพิวเตอร์จำนวน 3 ใน 10 เครื่องที่ใช้อยู่ในประเทศไทยยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP อยู่ ซึ่ง Windows XP เป็นระบบปฏิบัติการที่มีอายุ 11 ปีแล้ว และไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนผ่านระบบไซเบอร์ได้ รวมทั้งยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การปกป้องข้อมูลส่วนตัว และการเพิ่มประสิทธิผลอีกด้วย"
ตัวเลขจาก StatCounter ประจำเดือนกันยายน 2556 ระบุว่าประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้ Windows XP สูงสุดในแถบเอเชียแปซิฟิก โดยประเทศไทยมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP อยู่ราว 28% คิดเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์มากถึง 5.7 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าประชากรทั้งหมดของประเทศสิงคโปร์
ไมโครซอฟท์ระบุว่า ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เป็นต้นมา ผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศไทยได้เริ่มอัปเกรดไปเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่แล้ว โดย 57% ของคอมพิวเตอร์ไทยมีการอัปเกรดเป็น Windows 7 และ Windows 8 เรียบร้อย
สำหรับการหยุดสนับสนุน Windows XP ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2014 ไมโครซอฟท์ให้รายละเอียดว่าจะหยุดอัปเดทระบบรักษาความปลอดภัย การซ่อมแซมระบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย หยุดให้บริการด้านเทคนิคทางโทรศัพท์ และจะไม่มีการอัปเดทข้อมูลด้านเทคนิคผ่านระบบออนไลน์สำหรับ Windows XP อีกต่อไป นั่นแปลว่าผู้ใช้จะไม่ได้รับอัปเดทต่างๆ ที่จะสามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสอันตราย สปายแวร์ และซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆ และผลที่ตามมาก็คือระบบอาจหยุดทำงานหรือพบปัญหาซอฟต์แวร์บางชิ้นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ต้องพบปัญหาเหล่านี้ ไมโครซอฟท์จึงต้องการชักจูงให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะองค์กรน้อยใหญ่ที่ยังมีเครื่อง XP ในครอบครองได้อัปเดทระบบก่อนจะไม่ทันการณ์ จุดนี้นายรชฏ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และ เซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่าโดยปกติแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กมักใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือนในการอัปเกรดระบบ ส่วนธุรกิจขนาดกลางต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน
"เราจึงมีความกังวลว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยอาจตัดสินใจอัปเกรดในเวลากระชั้นชิดใกล้กับวันสิ้นสุดการให้บริการมากจนเกินไป ไมโครซอฟท์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในไทยให้สามารถอัปเกรดระบบได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์เก็บข้อมูลผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย "ทรูฮิตส์ (Truehits)" พบว่าระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์ที่คนไทยใช้งานขณะท่องอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในขณะนี้คือ Windows 7 (สัดส่วนการใช้งาน 40.7%) รองลงมาคือ Windows XP (26.52%) ตามมาด้วย iOS (16.58%), Windows 8 (3.5%), Linux (2.32%), Windows Vista (0.6%) และ Windows 2000 (0.01%) ทั้งหมดนี้เป็นสถิติประจำเดือนกันยายน 2013
ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการอัปเดทระบบปฏิบัติการได้ที่เว็บไซต์
Windows Upgrade Centreที่มา: manager.co.th