Author Topic: “ตุ๋ย มนฤดี” พร้อมแม่ “ไหม วิสา” โร่แจ้งความถูกข่มขู่คุกคาม  (Read 832 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai

<a href="https://www.youtube.com/watch?v=-S84zSRTvXE" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=-S84zSRTvXE</a>

“ตุ๋ย มนฤดี” พร้อมแม่ “ไหม วิสา” โร่แจ้งความถูกข่มขู่คุกคาม “ตุ๋ย มนฤดี” พร้อมแม่ “ไหม วิสา” โร่แจ้งความถูกข่มขู่คุกคาม “ตุ๋ย มนฤดี” พร้อมแม่ “ไหม วิสา” โร่แจ้งความถูกข่มขู่คุกคาม








“ตุ๋ย มนฤดี” เปิดแถลงข่าวพร้อมเข้าแจ้งความกรณีถูกข่มขู่คุกคามจนต้องเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ หลังเจ้าตัวถูกดึงเข้าไปเอี่ยวคดีที่เพื่อนสนิทคือ “นางเสาวณีย์” ทายาทโอสถสภา และเป็นแม่ของนักแสดงสาว “ไหม วิสา” ฟ้องหย่ากับอดีตสามีและกำลังมีปัญหาเรื่องปลอมแปลงเอกสารกันอยู่ ด้านทนายเผยที่แจ้งความก็เป็นเพื่อเป็นหลักฐานว่าหากทั้ง 2 คนนี้โดนอุ้มก็ให้รู้ว่าใครทำ
       
       อดีตนักแสดงชื่อดัง “ตุ๋ย มนฤดี ยมาภัย” พร้อมด้วย “นางเสาวณีย์ โอสถานุเคราะห์” ซึ่งเป็นเเม่ของนักแสดงสาว “ไหม วิสา สารสาส” ได้เปิดแถลงข่าวพร้อมเดินทางไปแจ้งความที่ สน.หัวหมาก หลังถูกข่มขู่และตามปองร้าย หลังเพื่อนสนิทคือ นางเสาวนีย์ กำลังมีปัญหาเรื่องฟ้องหย่ากับ ดร.ชินเวศ สารสาส อดีตสามี ปลอมลายเซ็นและยักยอกทรัพย์สิน กว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาตน และนางเสาวนีย์ ถูกลอบเจาะยางรถยนต์ รวมถึงมีชายฉกรรจ์บุกสะกดรอยตามตนและนางเสาวนีย์ไปถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด จนรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยในการแถลงข่าวในครั้งนี้ มี “นายสุวัตร อภัยภักดิ์” ทนายความส่วนตัวร่วมแถลงด้วย
       
       ทนาย: “เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากการฟ้องหย่าและการแบ่งสินสมรสกัน ระหว่างคุณเสาวนีย์ และคุณชินเวศ ซึ่งคดีนั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะมาเป็นทนายให้คุณเสาวณีย์ ซึ่งได้มีการฟ้องร้องกันที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดประจวบฯ ซึ่งทางคุณแหม่มได้มีการบรรยายในฟ้องว่าสามีหรือคุณชินเวศ กระทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา โดยการปลอมลายมือชื่อของคุณแหม่มในหนังสือมอบอำนาจโอนที่ดินหลายฉบับ”
       
       “แต่เรื่องสินสมรสนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เวลาหย่าร้างกันนั้นต้องแบ่งครึ่งหนึ่ง แต่สินสมรสบางรายการถูกยักยอกถูกโกงลายเซ็นไปให้คุณชินเวศกับพวก ดังนั้นจึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ใช้ลายมือชื่อของคุณแหม่มเพราะเป็นลายมือชื่อปลอมในหนังสือยินยอมโอนที่ดิน ทุนทรัพย์ที่คุณแหม่มจะได้รับในตอนนั้นก็ 829,325,880 บาท ซึ่งก็ยังได้รับไม่ครบในทั้งหมด เมื่อคดีนี้ได้ดำเนินไปในระยะนึง ผมก็ได้เข้ามาเป็นทนายความเรื่องนี้ ก็ตรวจพบว่านายชินเวศได้ปลอมหนังสือให้ความยินยอมโอนที่ดินที่ สภอ. สถานีตำรวจภูธรเกาะยาว อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ก็เลยพาคุณแหม่มเข้าร้องทุกข์ต่อ สภอ.เกาะยาว จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555”
       
       “จากนั้นก็ตรวจพบว่าคุณชินเวศใช้ลายมือปลอมไปโอนที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ผมกับคุณแหม่มก็ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2556 ต่อมาก็ตรวจพบว่า ได้ปลอมโอนที่ดินที่ประเวศ ก็ได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจประเวศ กทม.เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 และล่าสุดพบว่ามีการปลอมลายมือชื่อไปกู้เงินจากธนาคารทหารไทย สาขาปทุมวัน 2 วงเงินคือ 500 ล้านกับ 900 ล้านบาท ผมก็ได้พาคุณแหม่มไปแจ้งความวันที่ 18 กันยายน2556 นอกจากแจ้งความในคดีต่างๆ แล้ว ยังได้ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับที่ดินส่งตรวจที่สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมผลการตรวจลายมือชื่ออกมาว่าปลอมทั้งหมด และคุณแหม่มก็ได้พยายามขอหลายครั้งให้ศาล นัดคุณชินเวศมาเพื่อไกลเกลี่ยประนีประนอม เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวและก็มีลูกอยู่ด้วยกัน 3 คน ไม่อยากให้ปัญหาตกทอดไปถึงลูก แต่ทางคุณชินเวศไม่เคยยอมไปศาลเลย”
       
       “จนในที่สุดศาลออกหมายเรียกเป็นลายลักษณ์อักษรก็ไม่ยอมไปศาล และเขาก็ยืนยันว่าไม่ยอมหย่าและไม่ยอมแบ่งสินสมรสให้ จึงเป็นเหตุให้ต้องแจ้งความเพิ่ม ซึ่งผลที่ตามมาก็คือว่า ผมเองในฐานะทนายความถูกข่มขู่หมายจะเอาชีวิต จะมีตำรวจจากจังหวัดตราดมาดูพื้นที่ จะเอารถบรรทุกทรายชนบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าการกระทำนี้เป็นของใครเพราะผมทำคดีสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือคดีของคุณเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่ถูกอุ้มฆ่า ซึ่งก็เป็นคดีที่เสี่ยง แล้วก็คดีที่ 2 เป็นคดีของคุณแหม่มและคุณตุ๋ยเธอก็ถูกขู่ ไม่ว่าจะไปสำนักสงฆ์ ก็จะมีชายฉกกรรบุกเข้าไป ส่วนรถยนต์ก็ถูกเจาะยางแล้วก็ไปขู่ถึงที่พัก”
       
       ด้าน “นางเสาวณีย์” เผย นัดสามีไปไกลเกลี่ยที่ศาลหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมไป แถมยังถูกข่มขู่จะเอาชีวิตอีก พร้อมโอดลูกทั้ง 3 คนทำเฉยไม่คิดจะปกป้องแม่เลย
       “จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัว ก็ไม่อยากให้มันมาถึงขนาดนี้ โดยที่เราอดทนมานานมาก ไปศาลหลายครั้งเพื่อจะไกล่เกลี่ย แต่เราก็โดนทางโน้นปฏิเสธมาโดยสิ้นเชิง ซึ่งจริงๆ ตัวแหม่มเองแยกกันอยู่กับสามีมาแล้ว 20 กว่าปี แต่ว่าสุดท้ายเราก็ได้เข้าปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงตาพระมหาบัว ก็ตั้งใจว่าในเมื่อเราเข้าทางธรรมแล้ว ก็อยากจะหย่าร้างให้มันชัดเจน ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเขาเซ็นปลอม แต่เราก็แค่อยากหย่าร้างเฉยๆ แต่พอไปดูเรื่องทรัพย์สินแล้วปรากฏว่าทรัพย์สินเราได้ถูกโอนย้ายไปตั้งแต่ปี 2546 โดยวิธีการของเขา ก็คือโอนไปชื่อลูก ซึ่งการที่เขาจะโอนทรัพย์สินไปให้ลูกเราก็ทำได้ ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องเซ็นปลอมไป เพราะฉะนั้นก็อยากได้รับความเป็นธรรมค่ะ”
       
       “ส่วนเรื่องการข่มขู่การปองร้ายเอาชีวิต อยากจะพูดว่าเราเองเราเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่ได้มีศัตรู ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ แต่มาถูกทำร้ายด้วยผู้ชายที่มีเงิน ซึ่งเงินนั้นก็เป็นเงินของเรา แล้วก็มีพรรคพวกที่มีอำนาจเข้ามาช่วยมารุมผู้หญิงคือตัวดิฉัน และตุ๋ย มนฤดี ดังนั้นดิฉันก็อยากของความเป็นธรรมกับสังคม ว่าในเมื่อเราเป็นคนดีแล้ว จุดยืนของคนดีอยู่ตรงไหน ก็อยากให้สังคมทราบว่าเราโดนรังแก มาถึงตรงนี้แล้วเหมือนเราหลังติดฝา วันนี้ถึงได้มีการแถลงข่าวเกิดขึ้น ก็หวังว่าการแถลงข่าวครั้งนี้จะทำให้เขามาเจรจาคุย ซึ่งเราพร้อมจะยุติทุกอย่างให้ลงเอยด้วยดีเพราะเราไม่ได้คิดร้ายจะเอาใครเข้าคุกหรือทำร้ายชื่อเสียง แต่เรารอเขามาเจรจาถึง 3 ปี แต่เขาไม่เคารพต่อกฎหมายเลย”
       
       “แล้วก็ขอพูดถึงเรื่องลูกนิดนึงนะ เพราะเคยมีนักข่าวมาถามว่าลูกไม่ว่าอะไรเหรอ ซึ่งศาลก็เคยเปรยๆ ว่าถ้าเขาอ้างว่าเซ็นไปให้ลูกแล้วถ้าเขาบรรลุนิติภาวะ ลูกทั้ง 3 สามารถโอนคืนให้แม่ได้ แต่ก็ขอเปิดใจว่าลูกทั้ง 3 คนไม่ได้ลุกขึ้นมาปกป้อง หรือแสดงความให้เห็นว่าพ่อรังแกแม่ เราก็ถามว่าไปคุยกับพ่อบ้างไหม ลูกๆ ก็บอกว่าพ่อไม่ให้พูดเรื่องนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วต่อให้เขาโอนให้ลูกจริงๆ ลูกก็เซ็นโอนคืนให้เราไม่ได้ เพราะว่าเอกสารโฉนดอยู่กับเขาหมด ซึ่งทางคุณทนายก็บอกว่าถ้าพี่เสียชีวิตเรื่องนี้ก็จะจบ เพราะว่าเราไม่มีทายาททางคดี ซึ่งเรื่องนี้เราก็ไม่ได้ว่าเป็นเขา แต่เราไม่มีศัตรู”
       
       “สอง ที่เราถูกติดตามเจาะยาง มีคนมาเฝ้าดูที่พักก็เกิดจากตั้งแต่วันที่เราไปฟ้องอาญาเขา ก็จะมีรถกระบะไม่มีทะเบียนมาจอดอยู่หน้าที่พัก มีผู้ชายใส่หมวกใส่แว่นสะพายกระเป๋า ที่อาจมีอาวุธร้ายมาคอยดักและก็คุยวิทยุสื่อสารกัน ว่ารถเราเข้าออกยังไงซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เคยมี เพราะเขตที่เราอยู่ค่อนข้างปลอดภัย อย่างเวลาเราไปวัดปฏิบัติธรรมกับคุณตุ๋ย ก็โดนชายฉกรรจ์บุกเข้ามาในวัดตอน 4 ทุ่ม ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันที่เรา 2 คน ต้องไปเดินเวียนเทียนกับแม่ชีครูอาจารย์ ก็มีผู้ชายมายืนมองและ 1 ในนั้นเป็นลูกน้องเรา”
       
       “เขาก็เดินมาสวัสดี เราก็ถามว่ามาทำไม เขาก็บอกว่าอยากมาคุยเรา ก็บอกว่าไม่ได้เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคุย เพราะตอนนี้เราเวียนเทียนอยู่ ทีนี้เราก็หลบไปอยู่ในเขตของแม่ชี เขาก็ตามเข้าไป หัวหน้าแม่ชีก็ไปบอกเขาว่าเข้าไม่ได้ คุณเป็นผู้ชายจะเข้ามาในเขตแม่ชีไม่ได้ แล้วเขาก็ยืนยันว่าจะคุยกับเรา คือเรารู้สึกเหมือนถูกคุกคาม เราก็ไม่สบายใจ อย่างคุณตุ๋ยทุกครั้งที่เกิดเหตุก็จะโดนด้วยเพราะเราเดินทางด้วยกัน ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในจุดเดียวกัน ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ฟ้องหย่า สุดท้ายก็ถึงอาจารย์สุวัตร (ทนาย) เลย เพราะว่าเขาพูดเลยว่า ถ้าไม่มีอาจารย์สุวัตรเราก็คงแพ้”
       
       ทางด้านของ “ตุ๋ย มนฤดี” เผยต่อว่า ตนสนิทกับ “นางเสาวณีย์” เนื่องจากชอบไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน พร้อมบอกรับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่ง เพราะไม่อยากมีเรื่องกับใคร
       
       “คือเรื่องทุกอย่างมันสืบคดีมาจากพี่แหม่ม โดยพี่แหม่มถามตุ๋ยว่าไปปฏิบัติธรรมที่ไหน อยากไปปฏิบัติธรรมจังเลย ก็แนะนำไปที่วัดหลวงพ่อเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็อยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น สักพักจากนั้นหลวงพ่อก็ได้ส่งเรา 2 คนไปฝึกปฏิบัติธรรมกับพระมหาหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบ้านตาดมาหลายปี ซึ่งเรื่องของพี่แหม่มตุ๋ยเองก็ได้ยินอยู่เรื่อยๆ เห็นว่าเป็นเรื่องของเขา เราก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรมาก แต่เหตุการณ์ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ ตุ๋ยเองก็ไม่อยากจะมีเรื่องกับใคร แต่อาจารย์สุวัตรก็บอกว่าตุ๋ยเราจำเป็นจะต้องแจ้งความไว้ เพราะเราเดินทางไปวัดปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยๆ มันอันตราย วัดเดี๋ยวนี้ก็อันตรายนะอาจารย์ก็เป็นห่วง ผู้ใหญ่ก็เป็นห่วง”
       
       “ซึ่งเราเองก็รู้สึกสลดใจมากเลย ว่าวัดเหรอเป็นสถานที่ที่อันตราย ไปกราบครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้เหรอ ไปทำบุญก็ไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องจัดแถลงให้สื่อรับทราบและแจ้งความ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ หรือว่าเกิดมีการรอบทำร้ายซึ่งก็เป็นไปได้ เราก็ไม่ควรประมาท คือเราก็อยากอยู่อย่างสงบๆ ก็วอนสื่อให้เป็นสื่อกลางให้ประชาชนทราบ ว่าเดี๋ยวนี้ความจริงเป็นแบบนี้ รถเองก็ถูกเจาะยาง เราก็เห็นว่ายังไม่ตาย ก็อย่าไปอะไรเลยเพราะเรายังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าไปหาเรื่อง ก็ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมของเราไป ซึ่งเจาะยางก็เจาะด้านที่พี่แหม่มนั่งนะ เจาะลึกจนตำรวจบอกว่าเหมือนเหล็กแหลมๆ เจาะทิ่มเข้าไปถ้ารถวิ่งเร็วๆ ก็จะเกิดอุบัติเหตุได้โดยที่ยางระเบิด ซึ่งตุ๋ยเล่นละครเองก็ว่าน้ำเน่าแล้ว แต่เรื่องของพี่แหม่มเองดูจะมีมากกว่าเสียอีก”
       
       แจงเคยโดนชายฉกรรจ์บุกตามถึงวัด จนทุกวันนี้ต้องย้ายที่อยู่เรื่อยๆ โทรศัพท์ใช้หลายเบอร์ ยันขออยู่เป็นเพื่อนกับอีกฝ่าย คาดอยู่คนเดียวน่าจะอันตรายกว่า
       “ก่อนหน้านี้ตุ๋ยเห็นว่าเป็นรถกระบะไม่มีทะเบียน มีผู้ชายใส่หมวกใส่ชุดสีดำ แล้วก็มีวิทยุสื่อสาร ดูมีพฤติกรรมแปลกๆ ซึ่งก่อนหน้านี้จะโดนตามที่วัด ซึ่งตอนนี้เราก็อาศัยอยู่ในที่ที่ไม่แน่นอน ต้องย้ายอยู่เรื่อยๆ เช่าตรงนั้นที่ตรงนี้ที แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่วัดกัน อย่างโทรศัพท์ก็ใช้หลายเบอร์ เราก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่แหม่ม จะปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้ ก็จะพยายามอยู่ด้วยกัน คิดว่าแยกกันจะอันตรายกว่า”
       
       ทั้งนี้ “ทนายสุวัตร” ยังเผยต่อว่า วันนี้จะเดินทางไปแจ้งความที่ สน.หัวหมาก เพื่อไว้เป็นหลักฐานว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับทั้ง 2 คน จะได้ทราบว่าทั้ง 2 นั้น ไม่เคยมีเรื่องกับใครนอกจากคดีนี้คดีเดียว
       “คือที่ 2 ท่านไปแจ้งความที่หัวหมาก ก็เพราะว่ามีการข่มขู่คุกคามอย่างเจาะยาง บุกไปที่วัด ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ครั้งนี้ไปแจ้งความก็ยังไม่ได้ระบุว่าจะไปดำเนินคดีกับใคร แต่เราจะไปแจ้งความไว้เพื่อให้เป็นหลักฐานให้รู้ว่า เรานั้นไม่ได้มีเรื่องกับใคร เพราะว่าถ้ามีเหตุการณ์ที่เกิดถูกอุ้มเหมือนเอกยุทธ จะได้รู้ว่ามีคดีนี้คดีเดียวไม่มีคดีอื่นเท่านี้เอง ซึ่งตัวผมเองสามารถดูแลรักษาตัวเองได้เพราะทางผู้การกองปราบส่งตำรวจมา 2 คน แล้วก็มีทหาร 3 คนที่ช่วยดูแลผม แต่ 2 คนนี้ไม่สามารถดูแลและช่วยเหลือตัวเองได้เลย ก็ได้แต่บอกว่าถ้ามีอะไรด่วนให้บอกผมทันที เราจะส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วย ตอนนี้ได้แต่บอกว่าเวลาไปที่ไหนอย่าบอกใครให้อยู่แต่เซฟเฮาส์ อยู่ในที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด ถ้าจะไปไหนก็ให้ไปกับผม อย่างถ้าไปศาลหรือไปไหนที่ไม่จำเป็น ผมก็ไม่ให้ไป”
       
       หลังจากแถลงข่าวเสร็จ “ตุ๋ย มนฤดี”, “นางเสาวณีย์” และ “ทนาย”สุวัตร” ได้เดินทางมายังสน.หัวหมาก เพื่อแจ้งความ ทั้งนี้อยู่ๆ ได้มีชายสวมหมวก ใส่เสื้อสีดำมายืนแจกเอกสารให้กับสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าว เมื่อถูกถามว่าใครให้มา ชายคนดังกล่าวว่าก็บอกเพียงว่ามีคนให้มา ซึ่งในเอกสารเป็นคำชี้แจงของ ดร.ชินเวศ สารสาส โดยมีเนื้อหาว่า…
       “วันนี้ได้ทราบว่า คุณสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของ คุณเสาวนีย์ โอสถานุเคราะห์ จะจัดให้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีการปลอมลายมือชื่อของ คุณเสาวนีย์ โอสถานุเคราะห์ ทาง ดร.ชินเวศ สารสาส ก็คงจะไม่ประสงค์แถลงข่าวตอบโต้ เพราะเห็นแก่ความรู้สึก และการที่จะใช้ชีวิตต่อไปของลูกๆ ทั้ง 3 คน เพราะเป็นเรื่องของพ่อแม่ ซึ่งคดีทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลและชั้นพนักงานสอบสวน ก็ขอให้ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันในศาลดีกว่า ซึ่งบางคดีเช่นที่ จังหวัดอุดรธานี และศาลชั้นต้นที่จังหวัดอุดรธานี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ยกฟ้อง ดร.ชินเวศ กับพวกไปแล้ว และคดีที่เกาะยาวน้อย จ.พังงา พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเกาะยาว ก็ได้ไม่สั่งฟ้องคดีแล้วเช่นกัน ส่วนคดีที่กล่าวอ้างถึงธนาคารทหารไทย ก็อยากจะขอให้นักข่าวไปสอบถามข้อมูลรายละเอียดจากธนาคารบ้าง จะได้ให้ความเป็นธรรมกับธนาคารด้วย”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)