เสร็จสิ้นไปแล้ว กับงานเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ที่ทุกคนต่างรอคอยเมื่อคืนนี้ และเป็นไปตามคาด แอปเปิ้ล ได้มีการเปิดตัวไอโฟนพร้อมกันถึง 2 รุ่น ได้แก่ iPhone 5S (ราคาเริ่มต้น 199เหรียญฯ) ซึ่งมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจอย่าง ระบบเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ และ iPhone 5C ที่มาพร้อมจอเรตินา ในสนนราคา 99เหรียญฯ สำหรับรุ่น 16GB (ติดสัญญา 2 ปี) หรือ 199เหรียญฯ สำหรับรุ่น 32GB (สัญญา 2 ปีเช่นกัน)โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แอปเปิ้ล ได้เปิดตัวไอโฟนรุ่นเรือธงใหม่ iPhone 5S พร้อมด้วยสมาร์ทโฟนรุ่นราคาถูกตัวใหม่ iPhone 5C ที่พยายามดึงฐานลูกค้าให้มากขึ้น และฟื้นฟูความน่าสนใจในอุปกรณ์ของตน โดย iPhone 5S จะมาพร้อมกัน 3 สี และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง ระบบเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ เพื่อใช้ในการปลดล็อคเครื่อง โดยเปิดตัวที่ราคาขาย 199เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรุ่น 16GB, 299 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรุ่น 32GB และ 399 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรุ่น 64GB (ทั้งหมดนี้เป็นราคาที่ติดสัญญา) ในขณะที่ iPhone 5C จะทำจากวัสดุที่เป็นพลาสติกตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้า โดยเปิดตัวที่ราคา 99 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรุ่น 16GB และ 199 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรุ่น 32GB (สัญญา 2 ปี) โดยจะเริ่มเปิดพรีออร์เดอร์ในวันศุกร์นี้ และพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 กันยายน
สำหรับ iPhone 5C จะทำจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต หรือ พลาสติกที่มีความโปร่งใสและแข็งแรง ซึ่งทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี มาพร้อมกัน 5 สีสดใส ได้แก่ สีเขียว, ขาว, ฟ้า, แดง และเหลือง โดยพื้นหลังวอลเปเปอร์ยังได้มีการจับคู่ให้เข้ากับตัวกรอบด้านนอกของโทรฯอีกด้วย อีกทั้งยังได้มีการออกแบบเคสที่ผลิตมาจากซิลิคอนกับเยื่อบุไมโครไฟเบอร์ ขายคู่กันในราคา 29เหรียญสหรัฐฯอีกด้วย ด้านคุณสมบัติของตัวเครื่อง จะประกอบไปด้วย จอเรตินาขนาด 4 นิ้ว เช่นเดียวกับ iPhone 5 มีการใช้ชิป A6 ที่ให้การประมวลผลที่รวดเร็ว อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า iPhone 5 และมีกล้อง iSight ขนาด 8 ล้านพิกเซล
ในขณะที่ iPhone 5S รุ่นเรือธงใหม่ จะผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมเกรดสูง และมาในสีเงิน, ทอง และเทา โดยจะมีการใช้ชิปประมวลผลใหม่ A7 ที่รองรับการประมวลผลแบบ 64-บิท ซึ่งทำให้มีความใกล้เคียงกับชิปที่ใช้ในคอมฯพีซี โดยจะยังมีความเร็วเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า และประสิทธิภาพของกราฟิกที่ดีกว่าเดิมถึง 2 เท่าอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยแอพฯเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย อย่างเช่น Nike+ Move ใหม่ สำหรับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ จะไล่เลี่ยกับ iPhone 5 โดยจะสามารถใช้คุยผ่าน 3G ได้นาน 10 ชั่วโมง, ท่องเน็ตผ่านเครือข่าย LTE หรือ Wi-Fi ได้นาน 40 ชั่วโมง, ฟังเพลงได้นาน 40 ชั่วโมง และเปิดเครื่องทิ้งไว้ได้นาน 250 ชั่วโมง โดยจะยังมีเลนส์กล้องที่ได้รับการออกแบบมาให้มีรูรับแสงขนาดใหญ่และเซ็นเซอร์ เมื่อมีการถ่ายภาพ จะมีการถ่ายแบบมัลติเปิลช็อตและเลือกภาพที่คมชัดที่สุด และที่น่าสนใจคือ ระบบเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ ที่มีชื่อเรียกว่า Touch ID อยู่ตรงปุ่มโฮม ซึ่งจะใช้ในการปลดล็อคเครื่องและซื้อไอเท็มจาก iTunes
ที่มา CNET
ที่มา: pantip.com