“จาฤก กัลย์จาฤก” ประธานกรรมการบริการ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) “กันตนา” ทุ่มเงินพันล้านทำโรงหนังต่างจังหวัด ยิงผ่านดาวเทียม ขายตั๋วละ 30 บาท หวังให้คนกลับมามีวัฒนธรรมการดูหนังเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่สมัยก่อน ตั้งเป้าภายใน 1 เดือนนี้จะเจาะให้ครบ 77 จังหวัด 1,000 โรง คาดฟันรายได้ปีละ 200 ล้าน อนาคตปีละ 1,000 ล้าน อีก 5 ปีคืนทุน เผยกำลังเจรจากับผู้ประกอบการหนังกลางแปลงให้เข้ามาร่วมลงทุนกัน ไม่อย่างนั้นอยู่ยากแน่ แถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับโรงภาพยนตร์ชุมชนแห่งแรกของไทย “กันตนา ซีนีเพล็กซ์” โดยในงานแถลงข่าว “จาฤก กัลย์จาฤก” ประธานกรรมการบริการ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ได้เผยว่ากันตนาทุ่มเงินสูงถึง 1,000 ล้าน ในการลงทุนครั้งนี้ ตอนนี้มีผู้ร่วมลงทุนแล้ว 40 จังหวัด ตั้งเป้าภายใน 1 เดือนนี้จะขยายให้ได้ครบทั้ง 77 จังหวัด รวม 1,000 โรง ส่วนต่างประเทศมีพันธมิตรแล้ว 6 ประเทศ คาดไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปีหน้าจะเสร็จพร้อมเปิดให้ใช้บริการทั่วประเทศ
“โปรเจกต์กันตนา ซีนีเพล็กซ์เป็นวัตกรรมใหม่ของกันตนาที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ชุมชน ซึ่งการส่งภาพยนตร์ไปสู่ภาพยนตร์ชุมชนด้วยระบบดาวเทียมระบบแซทเทลไลท์ เก็บข้อมูลไว้ เขาอยากจะฉายเมื่อไหร่เขาก็เอาไปฉายได้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในภูมิภาค หลังจากที่โรงภาพยนตร์กระจายไปทั่วพื้นที่ประเทศไทยแล้ว และแพร่กระจายไปสู่อาเซียนด้วย อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก็จะได้เผยแพร่ไปสู่อาเซียนมากขึ้น ทำให้คนกลับมามีวัฒนธรรมการชมภาพยนตร์เหมือนยุครุ่นพ่อรุ่นแม่สมัยก่อน ที่จะต้องพาลูกหลานออกมาชมภาพยนตร์นอกบ้าน ซึ่งขณะนี้มันหายไป ผมเชื่อว่าโครงการนี้จะทำให้ภาพแบบนั้นกลับเข้ามาอีก”
“ตอนนี้เราเองมีผู้ร่วมลงทุน 40 จังหวัดแล้ว และภายใน 1 เดือนนี้เราจะได้ครบ 77 จังหวัด 1,000 โรง โรงนึงทางผู้ร่วมทุนลงทุนประมาณล้านนิดๆ แต่สำหรับกันตนาก็ต้องร่วมลงทุนโรงละประมาณล้านกว่าๆ เหมือนกัน ถ้า 1,000 โรง ก็ 1,000 ล้านบาท ขอบเขตของภาพยนตร์เป็นเรื่องที่เซนส์ซิทีฟนิดหน่อย เราจะพยายามหาภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับตลาดโรงภาพยนตร์เรา ประชาชนที่อยากชมมาฉายจะเป็นภาพยนตร์แบบไหน ผมว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะนึง เรายังต้องคุยกับทางหลายฝ่าย ทั้งทางเมเจอร์ ทางสายหนัง ทางค่ายหนังเอง แต่เราจะพยายามหาภาพยนตร์ที่ดีเหมาะสมกับตลาดมาฉาย น่าจะคละๆ กันนะครับ บางเรื่องอาจจะพร้อมขึ้นอยู่กับเจ้าของหนัง”
“แล้วที่บอกว่าเราเป็น AEC อาเซียนเน็ตเวิร์ค ก็จะมี ACN เอเชีย ซีนีม่า เน็ตเวิร์ค เวียดนาม ซึ่งเขาก็จะใช้โปรโมทหนังของเรา หนังเวียดนาม และหนังฝรั่งที่เป็นภาษาเวียดนาม ในไทยก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในภูมิภาคนี้ก็จะมีสี่ถึง 5,000 โรง ภาพยนตร์ไทยก็มีโอกาสที่จะไปฉายเหมือนกันสี่ถึง 5,000 โรง เราเน้นหนังเอเซียอยู่แล้ว ที่เราเชิญท่านทูตญี่ปุ่น ท่านทูตเกาหลีมาร่วมงานวันนี้ด้วย เราคิดว่าสองประเทศนี้เป็นประเทศผู้นำทางด้านสื่อเหมือนกัน เราอยากให้หนังในเอเชียมีพื้นที่ในการฉายพร้อมกันทั่วเอเชีย”
เมื่อถามถึงรายได้ที่ “กันตนา” จะได้ บิ๊กบอสคนเดิมก็เผยว่า…
“มันเหมือนเป็นการร่วมทุน สมมติว่ามี 5,000 โรงเราก็จะไปร่วมทุนอยู่กับเขาทั้งหมด โดยเราลงทุนเป็นเครื่องมือเข้าไปติดตั้ง เท่ากับว่าเราต้องลงทุน 5,000 โรง ก็ 5,000 ล้าน และโรงหนังของกันตนาเรามีความสามารถพิเศษคือ สามารถถ่ายทอดสด เช่น มวย หรืออะไรต่างๆ ที่เป็นไลฟ์คอนเสิร์ตได้พร้อมกัน ต่อไปจะไม่ใช่แค่โรงหนังอย่างเดียว ระบบเราถูกออกแบบไว้เป็น 3D ด้วย แล้วก็เป็น 4D กลายๆ แล้วด้วยซ้ำไป”
มั่นใจไม่กระทบกับธุรกิจกิจหนังที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“ผมคิดว่าไม่นะครับ เพราะเราเน้นประชาชนที่อยู่ไกลจากตัวเมือง เข้าถึงโรงภาพยนตร์ได้อยาก อย่างประชาชนที่อยู่แม่ฮ่องสอน ปัจจุบันนี้เขาอยากจะดูหนังเขาต้องลงมาดูที่เชียงใหม่ มันเป็นไปได้บ้าง แต่มันเป็นไปได้น้อย แต่ถ้าเรามีโรงภาพยนตร์ที่เขาเลย โอกาสที่เขาจะออกมาดูภาพยนตร์มันก็มีมากขึ้นอีก การทำแพลตฟอร์มซีนีม่าครั้งนี้ ทำให้เกิดกระแสคนหันมาชมภาพยนตร์มากขึ้น ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่แข่งกัน เราเข้ามาเสริมกันมากกว่า”
“ผู้มีรายได้น้อยไม่มีเงินจะเข้าไปชมภาพยนตร์ในเมืองหลวง ก็สามารถมาชมในโรงหนังของกันตนาได้ แล้วทางค่ายหนังเองก็น่าจะแฮปปี้ เพราะฉายที ฉายกัน 5,000 โรง ผมว่าทุกคนน่าจะชอบในโครงการของผม เพราะผมเองก็เป็นคนทำหนังคนนึงเหมือนกัน สำหรับโครงการตอนนี้ถือว่าเปิดเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างจะเริ่มพร้อมกัน โดยจะใช้เวลาในการสร้างเป็นเวลาหนึ่งเดือน การสั่งเครื่องมือก็ใช้เวลา 4 เดือน ก็นับไปอีก 6 เดือนหลังจากนี้ไปก็น่าจะเรียบร้อย โดยเราใช้สูตร 50 ที่นั่งต่อโรงภาพยนตร์หนึ่งที่ ค่าตัวตั๋ว 30 บาทต่อที่นั่ง ผมว่าในประเทศไทย 1,000 โรงน่าจะเป็นตัวเลขที่เหมาะสม”
“ระยะแรกๆ ทางพันธมิตรของเราน่าจะได้รายได้ไปก่อน โดยเราจะได้รายได้จากการขายโฆษณา ซึ่งถ้าคนดูเยอะเราก็ขายได้เยอะ เราคาดคะเนว่าน่าจะได้รายได้ปีนึงประมาณ 200 ล้าน แต่อนาคตถ้ามันบูมขึ้นมาก็อาจจะได้เป็น 1,000 ล้านก็ได้ ยังไม่มีใครตอบตรงนี้ได้ครับ ด้วยมันเป็นตลาดใหม่ ไม่เคยมีใครครีเอทมาก่อน มันยังตอบอะไรไม่ได้เลย เราทำอยู่คนเดียวมันยังไม่มีใครเคยทำ ก็ถือว่าเราเป็นผู้นำ ก็มองว่าไม่ต่ำกว่า 5 ปีเราถึงจะคืนทุน”
“อย่างที่บอกเราขายโปรเจกต์นี้คู่ขนานไปกับที่ต่างประเทศด้วย จนเรามีพันธมิตรที่จะร่วมด้วยแล้ว 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า เขมร ซึ่งทั้ง 6 ประเทศนี้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าขึ้นแน่นอน เพราะเราคุยทุกอย่างกันเบื้องต้นหมดแล้ว กะไว้ว่าจะมี 4,000-5,000 โรง ถ้าเกินกว่านั้นเราถือว่าเราประสบความสำเร็จสูงสุด ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ได้ดีที่สุดในภูมิภาคนี้แล้ว เราถือว่าเราเป็นผู้นำทางการสร้างและโพสต์โปรดักชั่น โอกาสนี้จะทำให้ภาพยนตร์ไทยออกไปเผยแพร่สู่อาเซียนในรูปแบบของเราเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์เอง แล้วจะนำรายได้สู่คนสร้างภาพยนตร์อย่างมากเลย ผมเชื่อย่างนั้นนะครับ”
คนไทยนับถอยหลังได้เลย ไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปีหน้าโรงหนังชุมชนเสร็จพร้อมเปิดให้ใช้บริการ
“ผมว่าไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปีหน้า ตอนนี้รอเรื่องสัญญา เอกสารการวางมัดจำให้เสร็จ เราจะเปิดพร้อมกันทีเดียว 1,000 โรง กลุ่มเป้าหมายเราเน้นไปที่คนรากหญ้า คนมีรายได้น้อย เราอยากได้บรรยากาศแบบสมัยก่อนที่ตั๋วราคาถูกๆ แล้วมีคนเข้ามาดูหนังในโรงกันเยอะๆ เราอยากจะเปลี่ยนให้คนที่ทำหนังทุกฝ่ายได้ ไม่ใช่ไปอยู่กับพวกทำแผ่นผีที่เป็นฝ่ายได้”
พอโรงหนังกันตนาขึ้น นั่นหมายความว่าหนังกลางแปลงจะหมดสิ้นอวสานไปแล้ว?
“ตอนนี้เราก็พยายามคุยกับผู้ประกอบการ ผมว่าเราร่วมมือกันได้นะครับ ฝั่งขายหนังเอง ท่านก็อาจะผันแปรมาร่วมลงทุนกับเราได้ ก็กำลังอยู่ในช่วงที่คุยกันอยู่ แต่ยังไม่ถึงปลายทาง เจตนารมณ์ของเราอยากจะส่งเสริมภาพยนตร์ไทยของเราให้มันยืดยาว และยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต แต่ถ้าไม่ร่วมกับเราคิดว่าพวกเขาคงอยู่ยากแน่”
ที่มา: manager.co.th