ชาร์ตเพลงฮิตกลายเป็นปัจจัยหนึ่งในความสำเร็จของศิลปิน K-Pop
สังกัดเพลงยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 อันได้แก่ YG Ent., SM Ent. และ JYP Ent. รวมถึงบริษัท Star Entertainment Empire ได้ร่วมกันยื่นคำร้องเรียน อ้างว่ามีค่ายเพลงบางแห่งใช้วิธีผิดกฎหมาย ในการดันเพลงของตัวเองให้ขึ้นอันดับ ติดชาร์ตเพลงฮิตของประเทศ ซึ่งปกติจะจัดอันดับความนิยมของเพลงด้วยการนับยอดขาย, จำนวนครั้งการเปิดออกอากาศ และยอดการฟังอ่อนไลน์ กับดาวน์โหลดผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งในเวลาต่อมา Cube Entertainment กับ FNC Entertainment ก็เข้าร่วมเพื่อร้องเรียนในเรื่องนี้ด้วย
บริษัทบันเทิงเหล่านี้ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เข้ามาสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนอาจทำลาย K-Pop ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และต้องพึ่งพิงตลาดการดาวน์โหลดเพลงแบบถูกกฎหมายเป็นหลัก
โดยสำนักข่าวแห่งหนึ่งของเกาหลีได้รายงานว่ามีบริษัทบันเทิงหลายแห่ง ใช้วิธีสกปรกในการแทรกแซงปั่นอันดับเพลงฮิตด้วยวิธีต่างๆ มากมาย มีข้อกล่าวหาถึงขั้นที่ว่ามีการว่าจ้างแฮกเกอร์เพื่อการนี้กันเลยทีเดียว
ฝ่ายโฆษกของ YG ที่เป็นต้นสังกัดของ 2NE1, Psy และ G-Dragon ยังมองว่าเรื่องนี้กำลังทำลายความน่าเชื่อถือของการจัดอันดับความนิยมเพลงเกาหลีใต้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อยอดการดาวน์โหลดเพลงแบบถูกกฎหมายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมดนตรีในขณะนี้
ทางลัดค่ายเล็ก-ศิลปินหน้าใหม่ เป็นเรื่องปกติที่บริษัทยักษ์ใหญ่กลายเป็นโจทย์ในประเด็นปัญหาการปั่นชาร์ตเพลงครั้งนี้ เพราะบริษัทเหล่านี้มีทุนทรัพย์ และศักยภาพในการผลักดันเพลง และศิลปินให้ประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องใช้ลูกไม้อะไรมากอยู่แล้ว จนค่ายเพลงระดับรองๆ ลงไปจึงอยู่ในข่ายต้องสงสัยมากกว่า
Sajaegi เป็นศัพท์ในวงการเพลงเกาหลีใต้ที่หมายถึงผลงานเพลงที่สามารถไต่ชาร์ตได้อย่างรวดเร็วจากอันดับ 20+ แต่สามารถทะยานขึ้นไปสู่ TOP10 ได้ภายในสัปดาห์เดียว หรือบางครั้งก็พุ่งแรงจากอันดับ 100+ เข้ามาติด TOP30 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ซึ่งสื่อดัง Ilgan Sports อ้างว่า บ่อยครั้งที่ปรากฏการณ์ Sajaegi ในวงการเพลงเกาหลีใต้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มาจากการทุ่มเงินของต้นสังกัดต่างหาก
สื่อในเกาหลีใต้เปิดเผยว่าถึงตอนนี้มีทีมงานอยู่ประมาณ 3-5 กลุ่ม ที่คอย “รับงาน” จากบริษัทบันเทิงเพื่อ “ปั่น” เพลงให้ติดชาร์ต ชนิดที่พวกเขาสามารถปั้นเพลงของศิลปินหน้าใหม่ให้ฮิตได้ภายในระยะเวลา 4-5 วันเท่านั้นด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่พอสมควรถึงประมาณ 300,000-500,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยเดิมทีคนกลุ่มนี้ก็ทำงานด้านการตลาดแบบ “ไวรัล มาร์เก็ตติ้ง” อยู่แล้ว จึงถนัดและเชี่ยวชาญการปั่นกระแสในอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดี
ตามข้อมูลทีมงานปั่นกระแสเพลงฮิตจะถือล็อกอิน และคูปอง สำหรับการฟังเพลงผ่านอินเทอร์เน็ต จำนวนมากเอาไว้อยู่ในมือ และพวกเขาก็มักจะเลือกก่อการในเวลาเช้าตรู่ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงหลับนอนกันอยู่ ซึ่งตามปกติหากเพลงมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 3 นาที แต่ละล็อกอินก็น่าจะฟังเพลงได้วันละประมาณ 480 ครั้งเท่านั้น แต่จากการสอบสวนระบุว่าบางแอ็กเคาต์ของอาชญากรในวงการเพลงสามารถฟังเพลงได้เป็นหลักหมื่นครั้ง จึงเชื่อได้ว่าน่าจะมีการใช้วิธีแฮกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
โดยมีข่าวว่าด้วยวิธีลักษณะนี้ค่ายเพลงแห่งหนึ่งสามารถดันงานเพลงของศิลปินในสังกัดให้ทะยานจากอันดับ 160 ขึ้นไปสู่อันดับ 28 ได้ในเวลาอันสั้น เช่นเดียวกับศิลปินอีกรายที่ผลงานเพลงพุ่งแรงจากอันดับ 260 สู่ 30 อย่างง่ายดาย
ที่มา: manager.co.th
