ภาพการแพร่กระจายของคราบน้ำมันเมื่อ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา จากกรณีการรั่วของน้ำมันดิบ 50,000 ลิตรบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบทางชายฝั่งมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อเข้าวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ได้ใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันในบริเวณที่พบคราบน้ำมันดังกล่าว ทาง ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ควรต้องพิจารณาให้รอบคอบต่อการใช้สารดังกล่าว
ดร.ธรณ์ได้กล่าวเตือนทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การใช้สารกำจัดคราบน้ำมันที่ช่วยให้น้ำมันแตกตัวและกระจายกันก่อนจมลงสู่ทะเลนั้นต้องมีความระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้ในทะเลตื้นที่มความลึกต่ำกว่า 20 เมตร เพราะมีหลายงานวิจัยที่ระบุว่ามีความเสี่ยง โดยมีงานวิจัยล่าสุดที่เปิดเผยในการประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวกับการรั่วของน้ำมันเมื่อปี 2012
เหตุผลของการออกมาเตือนในเรื่องดังกล่าวนั้น ดร.ธรณ์บอกแก่ทางทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าการรั่วของน้ำมันครั้งนี้มีความเสี่ยงและผลกระทบ และควรอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนถึงการรับให้ชัดเจน เช่น ใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันไปอ่าไรบ้าง จะมีคราบน้ำมันหลุดไปถึงชายหาดใดบ้าง เพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่เตรียมรับมือ เป็นต้น
"ที่ผ่านมามีแต่บอกว่าไม่มีผลกระทบ" ดร.ธรณ์
ทั้งนี้ หากคราบน้ำมันถูกพัดเข้าชายฝั่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งอาศัยขงสัตว์ทะเล และเป็นแหล่งทำการประมง จึงมีการใช้สารกำจัดคราบน้ำมนเพื่อให้แตกตัวและจมลงสู่ทะเลเพื่อการย่อยสลายตามธรรมชาติต่อไป
ทว่าการใช้สารดังกล่าวก็มีผลกระทบ ซึ่ง ดร.ธรณ์ระบุว่า ยังไม่อาจตอบได้ในระยะสั้นตอนนี้ว่าส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ต้องมีการศึกษาและประเมินกันต่อไป แต่หลายงานวิจัยชี้ว่าการใช้สารกำจัดน้ำมันในน้ำตื้นนั้นมีความเสี่ยง แต่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพของระบบนิเวศนั้นๆ
นอกจากการใช้สารกำจัดน้ำมันแล้ว ดร.ธรณ์บอกทางเลือกว่ายังมีวิธีกำจัดด้วยการใช้ทุ่นกันไม่ให้น้ำมันเข้าชายฝั่ง แต่ทุ่นต้องกว้างพอ และใช้เรือตักคราบน้ำมัน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ด้วยความพร้อมที่มีในปัจจุบันเราไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้
ที่มา: manager.co.th
