แฟ้มภาพ:นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานคอนซูเมอร์อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานคอนซูเมอร์อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การพัฒนาของกล้องถ่ายภาพด้านเฟิร์มแวร์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวกล้องซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้ว่ากล้องในระดับไฮเอนด์จะมีฟีเจอร์ที่พร้อมสู่การใช้งานอยู่แล้วในระดับที่น่าพอใจ แต่การปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานต่างรอคอยอย่างตั้งใจ
"แคนนอนมีการรวบรวมความเห็นของผู้ใช้งานจริงหลังจากวางจำหน่ายสินค้าไประยะหนึ่ง เพื่อนำมาแก้ไขเฟิร์มแวร์ให้สามารถตอบสนองการใช้งานตามที่ลูกค้าต้องการ โดยการอัปเกรดในครั้งล่าสุดนี้ได้ปรับเปลี่ยนเฟิร์มแวร์พร้อมๆ กันอย่างเป็นทางการในกล้องกว่า 4 รุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในหลายๆ ด้าน"
เริ่มกันที่ตัวกล้อง Cannon 5D Mark III กล้องโปรที่พกพาความสามารถด้านการถ่ายวิดีโอซึ่งเคลมว่าสามารถถ่ายงานภาพยนตร์ได้ในระดับ Full HD (1920x1080p) ได้รับการพัฒนาให้สามารถถ่ายทอดสัญญาณสู่มอนิเตอร์แบบ Full HD ได้ทันทีจากเดิมที่การถ่ายสัญญาณนั้นจะได้รับการบีบอัดให้เป็นเพียงขนาด 420p เท่านั้น
ขณะที่ EOS 1D C ซึ่งถือว่าเป็นกล้องแฟลกชิปด้านการถ่ายภาพยนตร์ของแคนนอนก็ได้รับการพัฒนาด้านเฟิร์มแวร์ให้สามารถถ่ายวิดีโอในระดับความเร็วเฟรมเรตที่ 25 เฟรมต่อวินาที จากเดิมที่จำกัดความเร็วเฟรมเรตอยู่ 24 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น การปรับปรุงจำนวนเฟรมเรตดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่ใช้งานสำหรับการถ่ายวิดีโอเพื่อส่งสัญญาณออกในระบบ PAL ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น
EOS 1D X ได้มีการปรับปรุงเฟิร์มแวร์ให้สามารถใช้งานกับเลนส์ที่มีความกว้างรูรับแสงขนาด F8.0 จากเดิมที่ไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ยังได้เพิ่มฟังก์ชันการล็อกปุ่มเข้ามา เพราะจากการปรับเปลี่ยนตำแหน่งปุ่มควบคุมที่ใหญ่และกดง่ายขึ้นในกล้องรุ่นนี้ก็กลายเป็นปัญหาในการพกพาระหว่างการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งปุ่มที่ถูกย้ายไปอยู่ด้านดังกล่าวได้รับแรงกระแทก และท้ายที่สุดจะกลายเป็นการเปลี่ยนขนาดไฟล์ภาพโดยที่ผู้ถ่ายไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ EOS 1D X ยังได้ทำการแก้ไข Stopper ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ที่อยู่ภายในกล้อง โดยปัญหาดังกล่าวเกิดจาก Stopper ซึ่งทำหน้าที่จับกระจกที่เด้งเมื่อกดชัตเตอร์ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม เกิดอาการสึกหรอเร็วผิดปกติอันเนื่องมาจากคุณภาพของสารหล่อลื่นที่เคลือบอยู่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมของกระจกเกิดความคลาดเคลื่อนส่งผลให้ระบบออโตโฟกัสไม่สามารถทำงานได้ โดยปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับกล้องที่ใช้งานมาแล้วมากกว่า 1 แสนครั้ง
‘หากกล้องที่จำหน่ายก่อนการอัปเกรดครั้งนี้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นสามารถนำกล้องเข้ามาที่ศูนย์บริการแคนนอน เพื่ออัปเกรดอุปกรณ์ดังกล่าวใหม่ได้ โดยเมื่ออัปเกรดแล้วกล้องก็จะไม่เกิดปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด’
และสุดท้ายการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ของกล้อง Cannon EOS M ให้กลายเป็นเวอร์ชัน 2.0.2 ช่วยเพิ่มความสามารถด้านการโฟกัสภาพได้เร็วขึ้น จากเดิมที่แม้ว่าจะเป็นการโฟกัสแบบไฮบริดอยู่แล้ว แต่เมื่อใช้งานจริงนั้นเกิดการขัดแย้งกันภายในเฟิร์มแวร์เองส่งผลให้การโฟกัสช้าลงกว่าปกติ โดยการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ใหม่นี้ช่วยให้ประสิทธิภาพการโฟกัสเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 2.3 เท่าสำหรับการโฟกัสแบบ Multi AF ในฟังก์ชัน one Shot AF และเพิ่มขึ้น 1.3 เท่าในการโฟกัสแบบ Single AF ในฟังก์ชัน one Shot AF พร้อมทั้งรองรับการใช้งานเลนส์ EF-M 11-12 mm ได้สมบูรณ์มากขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงภาษาที่เกิดอาการ Error ของระบบเมนูในกลุ่มภาษาจีน ฮังการี และเกาหลี ให้สมบูรณ์มากขึ้นด้วย
‘การอัปเกรดครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากทางแคนนอนว่าไม่กระทบต่ออัตราการกินกระแสไฟของแบตเตอรี่แต่อย่างใด สามารถใช้งานได้ระยะเวลาเท่าเดิมก่อนการอัปเกรด’
“เฟิร์มแวร์ใหม่นี้สามารถอัปเกรดได้ผ่านโปรแกรมของแคนนอนเอง หรือจะเป็นการอัปเกรดผ่าน Utility หลังจากโอนไฟล์เข้าไปที่เครื่อง แต่ให้ง่ายที่สุดแล้วการนำเครื่องเข้าไปที่ศูนย์บริการใกล้บ้านเพื่อตรวจเช็กความสมบูรณ์ในส่วนอื่นๆ ด้วยก็จะเป็นการป้องกันความผิดพลาดจากการอัปเกรดด้วยตนเองได้อีกทางหนึ่ง”
ทั้งนี้ การปรับราคาลงอย่างไม่เป็นทางการสำหรับกล้องรุ่น EOS M ลงมาอยู่ที่ 19,900 บาท จากเดิมที่มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 27,900 บาทเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เกิดจากการปรับราคาสินค้าแคนนอนพร้อมกันทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะสามารถกระตุ้นยอดการสั่งซื้อที่แผ่วบางในช่วงต้นปีได้มากขึ้น
Company Related Link :
Canon
ที่มา: manager.co.th
