Author Topic: รักต้องแต่งของ “เต๊ะ ศตวรรษ” เพราะสัญญาต่อหน้าศพพ่อฝ่ายหญิง  (Read 1285 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai






“เต๊ะ ศตวรรษ” เผยความรักกับสาวญี่ปุ่น บอกคบกันรักๆ เลิกๆ มา 8 ปีแล้ว แต่พอพ่อฝ่ายหญิงตายตามความเชื่อของคนจีนต้องให้ลูกชายทำพิธีกรรม แต่ที่บ้านภรรยาไม่มีลูกชายจึงลั่นวาจาต่อหน้าศพว่าขอเป็นลูกเขยเพื่อจะได้ทำพิธีกรรมได้ และคบหากันจนแต่งงานกันในเวลาต่อมา บอกฟ้าลิขิตมาแล้ว
       
       หลังจากที่ “เต๊ะ ศตวรรษ เศรษฐกร” ได้เข้าพิธีแต่งงานกับสาวชาวญี่ปุ่น “ไอริณ ไซ” ไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็ทำเอาหลายคนอยากจะรู้ว่า ความรักของทั้งคู่เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็เดินทางมาอัดรายการคนดังนั่งเคลียร์ ก็เลยถือโอกาสเปิดใจถึงการแต่งงานครั้งนี้ว่า...
       
       “มาเมืองไทยครั้งนี้ก็กลับมาทำงานครับ แต่ว่าภรรยากลับไปแล้วครับ เรามาถ่ายรายการด้วยกันศึกน้ำผึ้งพระจันทร์แล้วบินกลับไปแล้วครับ เขาเป็นคนสัญชาติญี่ปุ่นครับแต่ว่าเขามีเชื้อชาติ ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่นครับ คุณแม่เขาเป็นไต้หวันกับญี่ปุ่นครับพ่อเป็นฮ่องกงครับ เราแต่งงานเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาครับ วันนี้ก็ครบรอบหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันครับ ไปจัดแต่งงานที่ญี่ปุ่นครับ แต่ว่าจดทะเบียนที่ไทยก่อนถึงไปจัดงานแต่งงานที่นั่นครับ ซึ่งบรรยากาศงานแต่งงานวันนั้นก็มีความสุขนะครับ เหมือนงานแต่งทั่วๆ และก็จะมีแขกที่สนิทกันจริงๆ แค่ 60-70 คนเท่านั้นเอง”
       
       “ไม่มีสินสอดทองหมั้นครับเพราะแต่งพิธีแบบคริสต์ครับ เขาไม่ได้นับถือคริสต์นะครับ แต่ว่าเขาอยากทำพิธีแบบนี้ ก็เป็นอะไรง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เพียงแต่ว่าทุกคนอาจจะงงว่าไปแต่งกันตอนไหน เพราะไม่ได้แจกการ์ดไม่ได้เชิญใครมีแค่ญาติๆ เท่านั้นเอง ญาติฝั่งไทยไปนอกจากครอบครัวเต๊ะแล้วก็มีเพื่อนๆ กู้ภัยที่ชลบุรีไปอีก 10 คน ของไทยประมาณ 17 คนเท่านั้นเอง ที่เหลือเป็นคนญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกงครับ”
       
       รู้จักกันมา 8 ปี คบจริงจัง 2 ปีก่อนตัดสินใจแต่งงาน
       “เราเจอกันที่ไต้หวันครับ เจอกันเมื่อตอนที่เต๊ะไปทำงานที่นั่นเมื่อสัก 8 ปีที่แล้วครับ ตอนนั้นเราก็คบกันนะครับเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนที่ไต้หวันแล้ว แต่ก็ห่างๆ กันไปแล้วก็หายกันไป ก็เป็นแบบว่าคบๆ เลิกๆ หายๆ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว แล้วพอดีเป็นเหตุบังเอิญแบบว่าคุณพ่อเขาเสียที่มาเก๊าตอนที่เขามาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งตอนนั้นก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ยังไมได้เป็นแฟนกัน แล้วพอดีผมก็โสดเขาก็โสด แล้วมันเหมือนกับว่าพอคุณพ่อเขาเสียก็เลยแบบ ได้กลับมาคุยกันใหม่ จนสองปีก็เลยแต่งงาน”
       
       “และต้องบอกก่อนว่าการแต่งงานครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนกับการแต่งงานของคนอื่นนัก พอดีตอนที่คุณพ่อเสียเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็เข้าไปในพิธีตอนนั้น แล้วก็มันมีวิถีชีวิตความเชื่อของคนจีนเข้ามาเกี่ยวข้องว่า ถ้าลูกสาวยังไม่แต่งงานต้องรออีก 2 ปีหรือไม่ก็ต้อง 3 ปีถึงจะได้ทำพิธีศพพ่อ แล้วที่บ้านเขามีลูกสาวสองคนไม่มีลูกชายเขาเลยทำพิธีกรรมไม่ได้ ต่อหน้าศพคุณพ่อก็เลยขอเขาเลยว่าขอเป็นลูกเขย”
       
       “ตอนนั้นเรามีโอกาสไปเป็นเพื่อนเขารับศพคุณพ่อ เราเลยรู้สึกมีความผูกพันรู้สึกดีก็ค่อยๆ เพิ่มมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นที่พูดไปมันมาด้วยความที่เป็นธรรมชาติ ตอนนั้นเราก็ต้องปรับตัวมากเหมือนกัน 2 ปี มันก็มีอารมณ์แบบว่าไม่นิ่งบ้างผู้ชายก็ค่อยๆ ปรับ เลยคิดว่าคงจะเป็นเบื้องบนกำหนดไว้แล้วแหละให้เรากลับมาคุยกันด้วยวิธีนี้ ถึงตอนนี้ก็โอเคครับ พอถึงเวลาตอนนั้นก็เหมือนว่าเราเป็นลูกชายทำพิธีกรรมต่างๆ ให้เขาได้ครับ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็เป็นช่วงเวลาที่คบแล้ว จากนั้นตามความเชื่อของคนจีนก็เลยแต่ง และตอนแต่งก็จะมีรูปคุณพ่อด้วย จะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคุณพ่อเขาด้วย”
       
       ยันการแต่งงานไม่ได้เป็นการมัดมือชก
       “ไม่ครับมันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นตามสัญชาติญาณมากกว่า เพราะว่าเรารู้จักคนนี้มา 8 ปีถึงจะเลิกๆ คบๆ มาหลายช่วงเหมือนกัน แต่ว่าพอเราไปอยู่สถานการณ์ตรงนั้นเราก็รู้สึกว่า เออ...จริงๆ เราแคร์ใครมากที่สุด เราอยากจะอยู่ข้างใครมากที่สุด”
       
       แพลนมีทายาทปีหน้า
       “เรื่องลูกน่าจะเป็นประมาณปีหน้าครับ เพราะว่าปีนี้มันเพิ่งผ่านอะไรเกี่ยวกับครอบครัวเขาก็อยากให้เขาพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจด้วยครับ ถ้าเริ่มปล่อยน่าจะเป็นสิ้นปีหรือปีหน้าครับ แต่ก็ไม่รู้จะมีหรือเปล่าเลย”
       
       “ส่วนเรื่องฮันนีมูนยังครับ ภรรยาอยากไปนอร์เวย์น่าจะไปก่อนมีน้อง เพราะว่าถ้ามีน้องคงจะไปไหนไม่ค่อยสะดวกครับต้องดูเวลาก่อนครับ ถ้าฮันนีมูนแล้วน่าจะปล่อย แต่ก็คงเป็นปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าครับ ช่วงนี้น่าจะยังเพราะเดี๋ยวผมต้องกลับไปเดือนหน้าอีกแล้ว”
       
       เผยตนยังทำงานบันเทิงเหมือนเดิม ด้านภรรยาทำธุรกิจที่บ้าน
       “งานของเขาก็เหมือนเดิมครับ เขาก็ช่วยธุรกิจที่บ้านของเขาไป ส่วนผมก็ทำงานที่จีนของผมไป ซึ่งก็ยอมรับครับว่ามีผลต่อการใช้ชีวิตคู่เหมือนกัน เพราะว่าช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ไปทำงานที่จีน แล้วเขาก็บินมาหาบ้าง ผมถ่ายละครเสร็จก็บินไปญี่ปุ่นบ้าง ไปอยู่กับครอบครัวเขาบ้างแล้วก็มาไทย ก็จะเป็นแบบนี้ตลอดเลยบอกไม่ได้ว่าเรื่องแพลนมีน้องเพราะเรายังบอกไม่ได้ว่าจะมีที่ไทยดีหรือจะมีที่ญี่ปุ่นดีครับ คือต้องดูเวลาครับ แต่เราก็คิดไว้นะครับว่าเราจะหยุดอยู่กับที่ญี่ปุ่น เพราะว่าหนึ่งคือเราทำงานอยู่ที่จีนอย่างน้อยก็มีคุณแม่ที่คุยภาษาเดียวกัน คือเขาก็ยังคุยกับคุณหมอรู้เรื่อง แต่ถ้ามาอยู่เมืองไทยภาษาไทยเขายังไม่ได้ แล้วแม่ตัวเองก็ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยรอดเหมือนกัน”
       
       “ถามว่าจะมีเฟดๆ วงการบันเทิงไหม ไม่เฟดครับ เดี๋ยวภาระต้องมากขึ้นด้วย เพราะต้องรับงานมากขึ้นต้องประหยัดมากขึ้น ต้องอะไรมากขึ้น เพราะถ้ามีน้องแล้วไปอยู่ญี่ปุ่นค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าที่ไทยก็ต้องขยันขึ้น ต้องมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เพราะเราก็เป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัวของเขาด้วย เขามีแค่น้องสาวกับคุณแม่ ถามว่ากดดันไหม ก็กดดันนะครับ”
       
       รับพอมีข่าวออกไปมีแฟนคลับที่จีนบางคนไม่เข้าใจ
       “เขาเข้าใจว่าเป็นภาพละครตอนแรก เพราะว่ามันไม่เหมือนภาพถ่ายในงานทั่วไปครับ แล้วก็มีแบบว่า เออถามว่าผมเสียดายไหม ผมเสียดาย แต่ถามว่าผมอายุ 31 แล้วนะจะให้เป็นโสดอยู่ถึงเมื่อไหร่ ก็ต้องมีวันใดวันหนึ่งที่ต้องแต่งงาน ถึงตอนนี้ก็แฮปปี้ครับมีความสุข เริ่มเอาภาพของตัวเองที่อยู่ญี่ปุ่นลงอินสตาแกรมมากขึ้น ตอนแรกก็ไม่กล้าเอาไงดีนะ จะงอนไหมตอนนี้ก็น่าจะ 70เปอร์เซ็นต์ที่โอเคครับ แต่ 30 เปอร์เซ็นต์ก็ยังงุงิงุงิธรรมดาครับตามประสาแฟนคลับ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)