Author Topic: “สปีลเบิร์ก-ลูคัส” ฟันธงอุตสาหกรรมหนังอนาคตมืดมนถึงขั้นล่มสลาย!  (Read 604 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


เอเอฟพี - “สปีลเบิร์ก” และ “จอร์จ ลูคัส” เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี, ปัญหาทุนหนังเฟ้อ, ราคาตั๋ว และนโยบายของสตูดิโอ อาจทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เข้าสู่ภาวะใกล้ล่มสลาย ที่จะเหลือหนังให้ดูกันไม่กี่แบบ และราคาค่าตั๋วก็จะพุ่งขึ้นไปอีก ส่วนงานที่มีเนื้อหาแตกต่างคงต้องไปหาช่องทางในการเผยแพร่ทางโทรทัศน์แทน
       
       ผู้กำกับระดับตำนานฮอลลีวูด “สตีเวน สปีลเบิร์ก” และ “จอร์จ ลูคัส” ได้แสดงความเห็นที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ ด้วยการกล่าวเตือนผู้คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ว่าด้วยปัญหาทุนสร้างเฟ้อ กำลังจะทำให้วงการหนังมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งอย่างโทรทัศน์ และเคเบิลทีวี อาจจะพูดได้ว่าวงการภาพยนตร์กำลังอยู่ในช่วงของการล่มสลายแล้วในตอนนี้
       
       สปีลเบิร์ก เจ้าของหนัง E.T. และผลงานอมตะอีกมากมายเปิดเผยว่าผลงานเรื่องที่แล้วของเขาอย่าง Lincoln เกือบจะถึงขั้นไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ เพราะความเปลี่ยนแปลงไปของวงการภาพยนตร์ในระยะหลัง ส่วน ลูคัส เจ้าของตำนาน Star Wars ก็แสดงความเห็นว่าถึงตอนนี้การสร้างหนังเพื่อฉายในโรงหนังทำได้ยากขึ้นทุกที
       
       โดยหนึ่งในปัจจัยแห่งความเปลี่ยนแปลงของวงการหนัง ก็คือโครงสร้างของเรื่องราคาตั๋ว ที่ตอนนี้หนังฟอร์มใหญ่อย่าง Iron Man และ Man of Steel จะมาพร้อมด้วยการฉายในระบบสามมิติ ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้สร้างขายตั๋วด้วยราคาแพงถึง 25 เหรียญฯ ตรงข้ามกับหนังดรามาเข้มข้นว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองอย่าง Lincoln ที่ไม่ได้มีอะไรหวือวา ที่ขายตั๋วด้วยราคาเพียง 8 เหรียญฯ เท่านั้น ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้วงการหนังได้นำระบบเดียวกับละครบรอดเวย์มาใช้ ที่หนังบางเรื่องมีราคาตั๋วสูงกว่า และได้โอกาสยืนโรงนานกว่ามาก
       
       ที่แล้วมาถือเป็นเรื่องปกติของวงการภาพยนตร์สหรัฐฯ หรือฮอลลีวูด ที่สตูดิโอผู้ผลิตหนังรายใหญ่พยายามการันตีความสำเร็จให้งานด้วยการใช้ดาราชื่อดัง หรือ สร้างหนังภาคต่อจากงานที่เคยประสบความสำเร็จไปแล้ว
       
       แต่ความเปลี่ยนแปลงในระยะหลังไม่ได้เป็นผลโดยตรงของวงการหนังอีกแล้ว หากแต่เป็นความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจบันเทิงโดยเฉพาะการชมภาพยนตร์ภายในบ้าน ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนยุคของ DVD ไปสู่ BluRay และล่าสุดก็คือระบบการซื้อหนังจากบริการทางอินเตอร์เน็ตทั้งในแบบถูกต้องตามกฎหมาย และการลับลอบโหลดหนังแบบผิดกฎหมาย ที่เป็นปัญหาของฮอลลีวูดมาหลายปี และดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
       
       โดยในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งจัดขึ้นที่ วิทยาลัย School of Cinematic Arts ของ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย สปีลเบิร์ก กล่าวกับนักศึกษาที่เป็นคนทำหนังรุ่นต่อไปว่าความคิดใหม่ ๆ ที่พวกเขาพยายามทำกันอยู่อาจจะ “สุดโต่งเกินไปแล้วสำหรับหนังในยุคนี้”
       
       “นี่คือเรื่องอันตรายมาก และอาจจะกำลังกลายเป็นการล่มสลาย หรือการสลายตัวครั้งใหญ่” สปีลเบิร์ก กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ The Hollywood Reporter
       
       เขายังกล่าวต่อไปว่า “พวกคุณกำลังอยู่ในจุดที่สตูดิโอคงอยากจะลงทุนเงิน 250 ล้านเหรียญฯ ไปกับหนังเรื่องหนึ่งที่มีโอกาสประสบความสำเร็จใหญ่โตจริงๆ ... มากกว่าการสร้างหนังที่น่าสนใจ เป็นงานส่วนตัวอันลึกซึ้ง”

ยอดผู้กำกับแห่งฮอลลีวูดทำนายว่าในอนาคตอันใกล้จะมีหนังทุนสร้างสูงๆ ล้มเหลวให้เห็นอีก 3-4 เรื่อง และอาจจะถึง 6 เรื่องเลยทีเดียว ซึ่งนั่นจะมีผลไปถึงความเปลี่ยนแปลงของฮอลลีวูดอีกครั้ง
       
       ลูคัส แห่งตำนาน Star Wars ก็สำทับว่า “มันจะลงเอยด้วยการมีโรงหนังน้อยลง เหลือแต่โรงประเภทใหญ่ๆ ที่มีของเจ๋งๆ เยอะๆ การไปดูหนังอาจจะเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้เงินระดับ 50, 100 หรือ 150 เหรียญฯ เหมือนกับการไปดูละครบรอดเวย์ หรือฟุตบอลอะไรแบบนั้น ... ผมคิดว่าหนังแบบ Lincolns จะไม่มีอีกแล้ว และอาจจะไปโผล่ในจอโทรทัศน์แทน”
       
       ซึ่ง สปีลเบิร์ก ก็ยอมรับว่า ลูคัส พูดถูกเพราะ Lincoln เกือบไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ และเกือบลงเอยต้องเป็นหนังฉายทางโทรทัศน์อย่างที่ว่าจริงๆ “มันใกล้เคียงจะเป็นแบบนั้นมาก ถาม HBO ดูได้ ใกล้จริงๆ”
       
       ลูคัส อธิบายต่อไปว่า ยุคนี้งานอย่าง Lincoln และ Red Tails (หนังปี 2012 ที่เขาเป็นผู้สร้าง) เป็นภาพยนตร์ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการผลักดันให้สามารถฉายในโรงภาพยนตร์ เขาพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นยุคที่แม้แต่คนอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก และ จอร์จ ลูคัส "ก็ไม่สามารถพาหนังของตัวเองให้เข้าฉายในโรงได้แน่นอนอีกแล้ว”
       
       ซึ่งแนวโน้มแบบนี้ มีผลโดยตรงต่อภาพยนตร์ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างจะสุดโต่ง โดยเฉพาะจากฝั่งผู้สร้างกระแสหลัก ซึ่งต้องการทำหนังเพื่อฉายในวงการ ที่ตอนนี้เนื้อหาของหนังบางประเภทไม่สามารถเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้อีกแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดก็คือ Behind the Candelabra หนังเกย์ที่มีดาราระดับ ไมเคิล ดักลาส และ แม็ต เดมอน ที่ต้องออกเผยแพร่ทาง HBO แทนที่จะเป็นโรงภาพยนตร์
       
       Behind the Candelabra ผลงานของ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก ที่เล่าเรื่องนักดนตรีเกย์ผู้โด่งดัง และหนุ่มคนรักรุ่นลูก เป็นงานเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งเชื่อกันว่าสตูดิโอใหญ่ในฮอลลีวูดไม่ต้องการที่จะแตะต้อง จนผู้กำกับอย่าง โซเดอร์เบิร์ก ที่เคยคว้าออสการ์มาแล้ว ต้องไปพึ่งแหล่งเงินทุนจากสถานีเคเบิลดัง HBO จนสามารเข็นหนังออกมาได้ แต่ผลงานเรื่องนี้จะไม่มีโอกาสได้ลุ้นรางวัลออสการ์ในต้นปีหน้า เพราะหนังไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์นั่นเอง
       
       ถึงปัจจุบันหนังทุนสร้าง 250 ล้านเหรียญฯ คือมาตรฐานธรรมดาของหนังทุนสูงในฮอลลีวูดยุคนี้ไปแล้ว และในเวลาเดียวกัน ในทุกปีก็จะมีหนังที่ลงทุนสูงระดับนี้ล้มเหลวให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ อย่างปีก่อนที่ John Carter ทำให้ Disney เจ๊งยับจนผู้บริหารระดับสูงต้องลาออกไปพร้อมๆ กับผลขาดทุนที่ประเมินกันว่าสูงถึง 200 ล้านเหรียญฯ
       
       ส่วนในปีนี้ After Earth ผลงานเรื่องใหม่ของนักแสดงแถวหน้า วิล สมิธ ก็เปิดตัวอย่างน่าผิดหวังเก็บเงินใน 3 วันแรกแค่ 27.5 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างสูงถึง 130 ล้านเหรียญฯ เป็นงานที่เรียกได้ว่าล้มเหลวที่สุดในรอบ 20 ปีของ สมิธ เลยทีเดียว

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)