แม้จะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในวงการเพลงชายที่ชื่อ "ยืนยง โอภากุล" หรือ "แอ๊ด คาราบาว" ได้สร้างผลงานและปรากฏการณ์ต่างๆ ให้กับวงการเพลงไทยไว้มากมาย ณ วันนี้ ในวันที่แนวเพลงที่ถูกจำกัดความว่าเป็นดนตรี "เพื่อชีวิต" ดูเหมือนจะอ่อนระโหยโรยแรงลงไปทุกที ขณะที่นักดนตรีก็ถูกแดกดันว่าแต่งเพลง-เล่นเพลงก็เพื่อชีวิตตนเอง น่าสนใจทีเดียวว่าเจ้าตัวมองเรื่องนี้อย่างไร? รวมไปถึงหนัง "ยังบาว" กับเสียงตอบรับที่น้อยจนน่าใจหายไม่สมกับความเป็นตำนานของวงดนตรีวงนี้
หลายคนบอกแนวเพลงเพื่อชีวิตกำลังจะตาย?
“ผมว่าเพื่อชีวิตไม่มีวันตายหรอกครับเพราะมันเป็นผลผลิตทางสังคมในแต่ละยุคสมัย อย่างยุคสมัยนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย สิ่งที่ผู้คนสนใจ ก็เกิดจากสื่อที่มันมาไว้มากในโซเชียล มันอาจจะลดกระแสความต้องการในการเสพเพลงลง แต่มันก็ไม่ใช่เฉพาะเพื่อชีวิตนะ มันก็กระทบกับทุกเรื่องเลยในสังคม เอาเวลาไปอยู่ในโซเชียลมีเดียซะเยอะ"
"คนทำอย่างเราเองก็ต้องปรับและยอมรับสภาพไป แต่ศิลปินเราก็ยังต้องทำงานศิลปะต่อไป อาจจะต้องอาศัยการรวมตัวกันของศิลปินหลายๆคนเพื่อให้งานมันออกมาได้ ถ้ารอวงๆ เดียวทำมันจะมีสักกี่คนที่มีศักยภาพที่จะทำได้ขนาดนั้นไม่กี่วง อย่างปู พงษ์สิทธิ์ หน้าหมู พี่หงา หรือว่าคาราบาว ถ้าเป็นเพื่อชีวิตนะ”
อย่างคาราบาวเองต้องปรับตัวอะไรบ้างมั้ย?
“อย่างที่บอกว่าเราต้องปรับตัว วงเราเองก็ต้องมาศึกษามัน อย่างผมเองก็ต้องใช้อุปกรณ์ใหม่ๆในการแต่งเพลง ส่งเพลง อย่างเล็กเขาก็จะคลุกคลีโซเชียลมีเดียมากสุดในวง มีเฟซบุคที่สามารถติดต่อแฟนเพลงได้ เพราะมันก็เป็นอีกช่องทางนึงในการทำเงินของเรา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังเน้นในเรื่องของการขายแผ่นซีดี ดีวีดีอยู่มาก"
"เพราะมันเก็บไว้ได้นานแล้วมันก็ยังมีเรื่องราวของมันอยู่ มันมีความหมาย ซึ่งก็จะขายได้กับพวกที่ชื่นชอบศิลปินนั้นจริงๆ จากเดิมเคยขาย 3 แสน ตอนนี้ขายได้ 3 หมื่นถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว มันยังขายได้ เขาซื้อไปเก็บ ฉะนั้นเราต้องทำงานให้มีคุณภาพเพื่อรักษาคนเหล่านี้ไว้ เขาได้ฟังงานคุณภาพ เขาก็จะยังเชื่อมั่นเราอยู่ก็จะซื้อเก็บไว้และติดตามผลงานเราต่อไป"
"แต่ถ้าเราทำงานไม่ได้คุณภาพเขาก็จะหายไป ถ้าศิลปินยังมีคุณภาพอยู่แฟนๆ ก็จะติดตาม แล้วก็จะมีแฟนๆ กลุ่มใหม่ๆ เกิดมา รุ่นลูกรุ่นหลานต่อๆ ไป”
พอจะมองเห็นแววศิลปินวงไหนที่จะมาสืบสานดนตรีแนวเพื่อชีวิตต่อบ้างหรือยัง?
“มันไม่ได้จะมาชัดเจนที่วงๆ เดียว แต่จะมีเป็นเพลงๆ มากกว่า อย่างเพลงความเชื่อ เพลงสติ๊กเกอร์ของ บอดี้สแลม หรือเพลงของวงไทเทเนียมเอง พวกนี้มีความเป็นเพื่อชีวิตอยู่ ผมเองไม่มีเวลาที่จะมานั่งเทรนด์ใครหรอกครับเพราะเราเองยังต้องดูแลรับผิดชอบวงทุกวัน ไหนจะคาราบาวแดงอีก แค่นี้ก็หมดวันแล้ว”
เหมือนกับว่ารูปแบบของแนวเพลงเพื่อชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้ว?
“ใช่ ก็มันเป็นเพราะความรับรู้ของคนในสมัยนี้ เขาอาจจะเบื่อการเมือง แล้วด้วยเพลงเพื่อชีวิตส่วนใหญ่จะนำเสนอในแนวของการให้กำลังใจให้ทุกคนก้าวไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ซึ่งพวกนี้มันพอจะมีปะปนในวงต่างๆ ในปัจจุบันอยู่ ศิลปะคือการนำเสนอของคนแต่ละยุคแต่ละสมัย ฉะนั้นอย่าไปยึดติดรูปแบบ เพียงแต่มันพอมีกลิ่นอายหลงเหลือไว้ผมว่าก็เพียงพอแล้ว"
"เนื้อหาในเพลงมากกว่าที่จะบ่งบอกว่าเพลงไหนมันคือเพลงเพื่อชีวิตหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นเพลงๆ ไป เพลงเพื่อชีวิตมันต้องรับใช้สังคมได้ในตัวมัน เป็นการบอกเล่าสังคม การเมืองเศรษฐกิจในยุคสมัยนั้นๆ หรือฟังแล้วเราอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่า แต่ถ้าเราไปฟังเพลงคันหูผมว่าชีวิตมันคงจะไม่ดีกว่าแน่ มันเป็นอบายมุข ผิดศีลธรรมอย่างนี้ไม่ใช่เพื่อชีวิต แค่นี้เองที่ใช้พิจารณา”
แต่อย่าง "คาราบาว" ก็ดูเหมือนจะขายของเก่าเป็นหลัก
“ผมคิดว่าคงต้องให้เวลากับเขาหน่อยนะ ต้องยอมรับว่าเรามันคนละยุคกัน แต่เพชรยังไงมันก็ยังเป็นเพชรอยู่วันยันค่ำ ถ้ามันเป็นโป่งขามยังไงมันก็เป็นโป่งขาม ขายได้น้อยได้มากไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส เราอายุมากแล้วจะอะไรนักหนา ก็แค่อยู่แล้วได้ทำงานที่มันดีๆ ได้มีงานออกไปเรื่อยๆ"
"เราเองก็อยู่บริษัทวอร์นเนอร์คนก็รู้จักกันทั้งโลก มีผลงานมาตรฐาน แต่เพลงเก่าๆ นี่ยังไงก็อยู่ได้เพราะอาจจะมีแฟนๆ ที่อยู่ในยุคเดียวกันและเติบโตกันมาพร้อมๆ คาราบาว ทุกวันนี้คอนเสิร์ตนึงเราจะเล่นเพลงใหม่ๆ กันประมาณ 5 เพลงใน 25 เพลง เพราะเพลงใหม่เขายังไม่ได้ฟังกัน เขาจะมึนๆ หน่อยแต่ถ้าเพลงเก่าเขาจะเต้นเลย เหมือนคนเรารู้จักกันมาแล้ว เพลงเก่าที่เล่นก็จะคัดแต่เพลงที่เขาชอบๆ มากที่สุด”
พูดถึงหนังเรื่อง "ยังบาว" หลายคนสงสัยว่าทำไมรอบสื่อฯ ถึงมีสมาชิก "คาราบาว" ไปร่วมงานเพียงคนเดียว มีปัญหาอะไรกันหรือไม่? ทั้งๆ ที่ตอนเปิดตัวดูยิ่งใหญ่มาก
“ไม่มีครับ สุดท้ายที่ได้เจอกับอาโจวคือการตรวจบท ก็จะมีพี่เล็กนี่เขาตรวจเข้มเลยนะ ผมก็เลยปล่อยเขา เอาเลยเต็มที่ ไม่มีปัญหา เรื่องบทนี่ไม่มีอะไร แต่ที่ไม่ได้ไปเพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ก็มีพี่เขียวอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว"
แต่ดูจากกระแสแล้วค่อนข้างแผ่วจากที่เปิดตัว
“อันนี้ผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ว่ามันเพราะอะไร แล้วผมก็ยังไม่ได้เห็นเนื้องานเขาฉะนั้นผมพูดอะไรไม่ได้เลย ก็ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้คุยใครในทีมงานหนังยังบาวเลยด้วย”
เป็นเพราะไม่เป็นไปตามแพลนที่วางเอาไว้ว่าจะเอาหนังไปฉายพร้อมกับทัวร์คอนเสิร์ตหรือเปล่า?
"ไม่เกี่ยวนะ คอนเสิร์ตก็จะเป็นอีกแบบนึง เหมือนหนังกลางแปลงเหมือนหนังที่เขาฉายตามต่างจังหวัด ก็จะมีหนังและคอนเสิร์ต แต่พอมันไม่มีหนังเพราะเสร็จไม่ทันกำหนดคอนเสิร์ตก็เลยต้องล้มไป ก็เสียดายนะ แต่เราก็เปลี่ยนมาเป็นทัวร์กับข้าวพันธุ์ดีแทน ดีที่ข้าวพันธุ์ดีเขามารับไม่งั้นมันก็จะโหว่ ตั้ง 50 โชว์ แต่ช่วงแรกก็ต้องปรับกับคนที่เขาซื้อบัตรไปแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่ซื้อซีดีของวอร์นเนอร์แล้วแถมบัตรตั๋วหนังแล้วก็คอนเสิร์ตก็ต้องมาเปลี่ยนกัน แต่คนดูเขาโอเคครับ ก็อธิบายเขาให้เข้าใจ”
คนทำหนังมีปัญหากับสปอนเซอร์ที่ถอนตัวไปด้วย
“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ตั้งแต่จากดูบทเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย เราอนุญาตให้สร้างเราก็บอกให้เขาไปแก้นั่นแก้นี้ก็จบ ไม่ได้รู้ว่าเขาได้แก้หรือได้ทำอะไรรึเปล่า ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรกันบ้าง แต่ฮิวโก้ก็จะมาหาผมบ่อย ล่าสุดมาตอนช่วงก่อนที่ผมจะไปอีสาน เขาก็มาบอกว่ามันดีนะ มันเข้าท่า ก็ได้ยินเท่านั้นเอง”
ส่วนของ "คาราบาว" มีผลกระทบอะไรบ้างไหมกับครั้งนี้
“ไม่มีครับเพราะว่าเราสวมไปทันพอดี อาจจะมีจังหวัดแรกที่ขรุขระคือสุพรรณ เพราะเขาจะมาดูหนังด้วย แต่เราก็ประชาสัมพันธ์ได้ทัน โชคดีที่มันเป็นจังหวัดบ้านผมก็เลยคุยง่ายหน่อย หลังจากนั้นก็เว้นไปอีกสองอาทิตย์ก่อนจะไปต่อที่เมืองกาญจน์ ก็ทำให้เราได้ทันตั้งตัวกัน"
ทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่าง รวมถึงเสียงตอบรับของหนัง "ยังบาว" คิดว่ามันจะบั่นทอนคำว่า "ตำนาน" ของคาราบาวมั้ย?
“ผมก็ไม่ทราบ ขอให้ผมไปดูก่อนได้ไหม ผมถึงจะตอบได้ ถ้าผมได้ดูจะตอบได้ว่ามันดีหรือไม่ดี”
ที่มา: manager.co.th