“พ่อจา พนม” เล่นบทโหดพาการ์ดพกปืนไปพบ “จา พนม” ซ้ำยังประเคนหมัดเข่าซัดใส่ลูกจนผู้จัดการส่วนตัวต้องรีบเข้าไปช่วยจา ทำเอาพ่อจาโมโหจวิ่งตามไปต่อยโชคดีหลบทัน ด้านภรรยาจาโร่แจ้งความแล้ว ส่วนจามีการฟกช้ำบริเวณต้นคอขณะนี้กินยาแก้ปวดและไม่โกรธพ่อ บอกพ่ออารมณ์ดีเมื่อไหร่แล้วค่อยคุยกัน เป็นเรื่องไม่จบเลยทีเดียวสำหรับ “จา พนม ยีรัมย์” กับ “ทองดี ยีรัมย์” พ่อของจาพนม ก่อนหน้านี้ก็มีคลิปของพ่อออกอาการเพ้ออยากจะร่ายรำ โดยญาติบอกว่าเป็นเพราะจาไม่กลับมาไหว้ปะกำจึงทำให้พ่อมีอาการแบบนี้ ล่าสุดพี่สาวและแม่ของจา พนม ก็พากันมาบ้านของ “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์ โชติวัฒนานนท์” ที่ย่านปทุมธานี โดยได้พูดคุยกับพ่อของบุ้งกี้ว่า ต้องการจะพาจากลับบ้านจังหวัดสุรินทร์ไปทำพิธีปะกำ และพ่อจาไม่สบายมากไม่ได้มาด้วย แต่ภายหลังแม่ของบุ้งกี๋พึ่งกลับมาถึงบ้านกลับพบว่า พ่อของจานั่งรออยู่บนรถตู้ อย่างไรก็ตามพ่อของบุ้งกี๋ก็ได้นัดแนะให้ไปเจอจาพนมที่อยุธยา เพราะจาถ่ายหนังอยู่ที่นั่น โดยได้นัดเจอกันที่วัดพนัญเชิญ
เมื่อจาถ่ายหนังเสร็จจึงได้เดินทางไปพบพ่อพร้อมทีมงาน โปรดิวเซอร์หนัง และ “ปลา ทิพย์กัญญา สุรวิทยานนท์” ผู้จัดการส่วนตัวซึ่งเป็นญาติกับบุ้งกี๋ ปรากฏว่าครอบครัวของจามีการ์ดมาด้วยแถมยังพกปืน จึงขอร้องให้ออกไปเพื่อที่พ่อลูกจะได้พูดคุยเป็นการส่วนตัว จากนั้นจาพร้อมโปรดิวเซอร์ก็ได้เข้าไปพูดคุยกับพ่อในรถตู้ ซักพักรถตู้เกิดการสั่นผู้จัดการส่วนตัวจึงรีบเปิดประตูรถเข้าไป พบว่าพ่อจากำลังใช้ทั้งหมัดและเท้าทำร้ายร่างกายจา ทำให้จาร้องเสียงหลงและขอร้องให้เลิกทำ ก่อนที่ทีมงานจะรีบกรูกันพาตัวจาออกมา พี่สาวกับแม่ก็รีบวิ่งตามไป ด้านพ่อจาก็วิ่งตามไปจะเอากำปั้นชกผู้จัดการส่วนตัวแต่โชคดีหลบทัน
ผลการถูกทำร้ายร่างกายทำให้จาเจ็บบริเวณต้นคอและได้กินยาแก้ปวดแล้ว โดยผู้จัดการส่วนตัวได้เปิดเผยว่า จาไม่โกรธพ่อและรอให้พ่ออารมณ์ดีกว่านี้ค่อยคุยกัน และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า....
“เมื่อวานตอนเช้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณจาขึ้นมากับพี่สาวพี่ชายและพี่เขย และมีชายแปลกหน้าสองคน แล้วมีอีกคนที่เป็นผู้ชายใส่เสื้อสีดำเขาพกปืนมาด้วยเขาเปิดเสื้อแล้วเราเห็นปืน แต่เราก็ไม่อยากที่จะระบุว่าเขาเป็นมือปืนหรือเปล่า พอมาเขามาถามหาคุณจา ซึ่งคุณจาไม่อยู่ออกไปข้างนอกไปดูโลเกชั่นถ่ายหนังอยู่ที่อยุธยา”
“เราก็บอกไปว่าคุณจาไม่อยู่และพาเขาเข้าไปคุยกับคุณพ่อของน้องบุ้งกี๋ก่อน ว่าโอเคถ้าอยากที่จะเจอคุณจาไม่ใช่ปัญหาเดี๋ยวทางเราจะติดต่อให้ เพราะเห็นว่าพ่อป่วยเราก็โอเคตามนั้นจบ ปลาเองก็ถามว่าแล้วตอนนี้คุณพ่อพี่จาอยู่ที่ไหนพี่สาวเขาก็บอกว่าอยู่สุรินทร์เราก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นคงต้องรอให้พี่จาถ่ายหนังเสร็จแล้วก็ไปหาพ่อที่สุรินทร์ ทางพี่สาวก็บอกว่าไม่ได้ต้องให้พี่จาไปคุยกับพ่อในวันนี้ เราก็งงว่าแล้วจะไปคุยได้ยังไงระหว่างนั้นคุณแม่น้องบุ้งกี๋ก็เข้ามาบอกว่าเห็นคุณพ่อพี่จาอยู่ในรถตู้ทำไมไม่เข้ามาคุยกันเรื่องก็เลยแตกปลาก็ถามว่าทำไมต้องมาโกหกว่าคุณพ่ออยู่สุรินทร์”
“แล้วมีเอาผู้ชายฉกรรจ์มาสองคนขับรถซูซูกิตามประกบรถตู้เขาเปิดเสื้อมาพกปืนมาด้วย เรารู้สึกกลัวที่บ้านก็มีแต่ผู้หญิงและเด็กเราก็เลยบอกจะพาพี่จาไปพบคุณพ่อแต่ขอไม่มีคนอื่นไม่มีนักข่าว อยากให้คุยกันตามประสาพ่อลูกและพี่น้อง
“หลังจากนั้นเราก็โทรไปบอกพี่จาว่า ให้พี่จาโทรไปหาคุณพ่อหน่อยพ่อมาหาที่บ้านแล้วพ่อป่วยประมาณนี้ พี่จาเลยโทรศัพท์กลับไปหาคุณพ่อโดยโทรเข้าไปผ่านเบอร์พี่ทิดก็คือพี่ชายของพี่จาและขอสายคุณพ่อ แต่ฝ่ายนั้นไม่แน่ใจว่าเป็นพี่ชายหรือแม่เขาบอกว่าพ่อไม่อยากคุย พี่จาก็เลยบอกว่างั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวผมไปหา”
“ก็คุยกับพี่จาว่าจะเอายังไงจะถ่ายซีนนี้ให้เสร็จก่อนมั้ยแล้วไปหาที่วัดพนัญเชิง ซึ่งก่อนที่เราจะพาพี่จามานั้นเราให้คนมาดูก่อนว่า ยังมีชายฉกรรจ์สองคนที่ว่าพกปืนมาด้วยหรือเปล่า ทีมงานบอกว่ายังอยู่เราเลยให้คนดูแลอีกคนโทรไปถามว่า ทำไมมาแค่นี้ต้องมีบุคคลอื่นมีปืนหรือมีนักข่าวมาด้วย ทำไมไม่ให้พ่อลูกคุยกันด้วยเรื่องง่ายๆ สบายๆ เราบอกเอากลับไปได้มั้ยเขาก็บอกว่าเขาไล่กลับไปแล้ว จากนั้นเราก็ให้ทีมงานเฝ้าดูว่าโอเคออกไปจริงหรือเปล่าพอออกไปจริงเราก็พาพี่จาไปหาพ่อกับแม่เขาที่วัดพนัญเชิง”
“พอมาถึงที่วัดพนัญเชิงเขาก็บอกว่าต้องการที่จะให้พี่จาขึ้นไปคุยกับพ่อเขาแค่สองคน เราก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวให้พี่เก่ง(โปรดิวเซอร์) ขึ้นไปคุยด้วยเผื่อกลัวว่าถ้าคุณพ่อแกเป็นอะไรยังไงจะได้ช่วยทัน เพราะเห็นบอกว่าพ่อป่วยอยู่ พอหลังจากนั้นที่ขึ้นไปคุยบนรถตู้เสร็จปลาก็รู้สึกเอะใจ เพราะก่อนนี้นี้เราได้ข่าวมาว่าทางนี้เขาต้องการที่จะเอาตัวพี่จากลับสุรินทร์เลย ถ้าพี่จาขึ้นรถตู้เมื่อไหร่จะขับรถออกทันที แต่เราได้ถามทีมงานแล้วว่าคนขับรถตู้อยู่ไหนเขาบอกว่าอยู่ข้างนอกรถพี่สาวพี่เขยก็อยู่ข้างนอก เราเลยรู้สึกโอเคโล่งใจหน่อย แต่เราก็ยังมายืนอยู่ข้างๆ รถตู้”
“แล้วสักพักเราเห็นรถตู้มันโยกก็สงสัยและคิดในใจว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นบนรถตู้แน่ๆมันน่าจะมีเรื่องก็เลยถือวิสาสะเปิดประตูรถตู้ก็เห็นพี่จากำลังโดนคุณพ่อทำร้ายแล้วพี่จากำลังจับมือคุณพ่อบอกว่าอย่าทำผม และทางคุณเก่งโปรดิวเซอร์ก็เล่าให้ฟังด้วยว่าตอนอยู่บนรถตู้พี่จาโดนคุณพ่อต่อยเข้าที่คอแล้วก็ถีบด้วย พอปาเห็นภาพนนั้นก็รีบตะโกนว่ามาช่วยพี่จาหน่อยพี่จาโดนซ้อมเราตกใจเลยพูดไปแบบนั้น ทุกคนเลยพากันวิ่งมาดูตัวพี่สาวพี่จาเขาก็วิ่งมากันแล้วบอกว่าไม่มีอะไรๆ พ่อลูกเขาแค่คุยกัน”
“ด้วยความที่เราตกใจและโมโหก็เลยบอกว่าไม่มีอะไร.....เห็นนะเมื่อกี้ ระหว่างที่เราพูดกับพี่สาวเขาอยู่ก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บๆ เหมือนพ่อต่อยหลังพี่จาเราก็เลยรีบบอกให้คนเอาพี่จาลงมาก่อนวันนี้คุยไม่ได้แล้วเอาไว้ใจเย็นๆ กันก่อนแล้วค่อยมาคุย ปลาเลยดึงพี่จาออกมาจากรถตู้แล้วพาขึ้นรถฟอร์จูนเนอร์แล้วบอกให้คนดูแลอีกคนขับรถพาพี่จาออกไป ซึ่งตอนแรกปลาขึ้นไปบนรถด้วย แต่มาคิดได้ว่าคุณพ่อบุ้งกี๋เขาอยู่ข้างล่างคนเดียวเราเลยเป็นห่วงอีกก็เลยลงมาดู”
“แล้วเป็นช่วงที่ปลากำลังบอกพี่สาวพี่ชายพี่จาว่าให้ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน ช่วงนั้นเรากำลังยืนหันหลังให้รถตู้อยู่และกำลังเดินหลบถอยหลังอยู่ดีๆ มีหมัดของคุณพ่อพี่จาเฉียดหน้าปลาไปเลย ก็คือถ้าปลาไม่หลบก็อาจจะโดนหมัดนั้นของคุณพ่อพี่จาไปแล้ว เพราะเรากำลังชุลมุนอยู่ ทุกคนในที่นั้นเห็นและเป็นพยานได้ว่าคุณพ่อพี่จาลงมาจากรถตู้เพื่อที่จะทำร้ายปลาจริงๆ แต่เราหลบทัน”
“และที่เราออกมาให้ข่าวคือเราอยากที่จะบอกว่า เมื่อวานพี่จา พนม ได้เจอคุณพ่อแล้วนะคะและคุณพ่อพี่จาก็ไม่ได้ป่วยอย่างที่เป็นข่าวลุกไม่ได้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มันเป็นความจริงเลย เพราะเมื่อวานปลาเห็นคุณพ่อพี่จาสามารถที่จะเดินลงจากรถเพื่อจะมาต่อยปลาได้มันเหมือนคนที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติ”
“จากเหตุการณ์นี้พี่จาไม่พูดอะไรเลย เพราะด้วยความที่เขารักพ่อรักแม่ของเขามากพี่จาพูดแต่ว่าเดี๋ยวให้พ่ออารมณ์ดีก่อนแล้วผมจะกลับไปคุยกับพ่อต่อเราได้ยินแค่นี้ แต่จากการที่ปลาไปคุยกับคุณเก่งโคโปรดิวเซอร์หนังที่ขึ้นไปคุยเป็นเพื่อนพี่จากับพ่อบนรถตู้เขาเล่าให้ฟังว่า พี่จาบอกว่าพ่อเป็นไงไม่สบายเหรอ พ่อก็บอกว่าไม่สบายและบอกให้พี่จากลับบ้านเถอะลูกกลับไปสุรินทร์ไปทำพิธีประกำ พี่จาก็บอกว่าไปไม่ได้ครับพ่อผมต้องถ่ายหนังให้จบผมทิ้งทีมงานมาเป็นแบบนี้เสี่ยเจียงจะเสียหายเยอะครับ พ่อก็ยังยืนยันว่าให้พี่จากลับบ้านที่สุรินทร์โมโหและลงมือ”
“ที่มีคำถามว่าถ้าเป็นแบบนี้จริงทำไมไม่มีรูปถ่าย คือเราอยากจะบอกว่าเราเคยคุยกับเขาแล้วว่ามาแค่นี้ทำไมต้องเอานักข่าวเอามือปืนมา แล้วก่อนจะมีเรื่องพี่จาก็ชวนคุณพ่อของเขาว่าให้กลับไปพักบ้านผมก่อนแล้วผมทำงานเสร็จแล้วเราจะได้กลับไปมีไรคุยกัน คุณพ่อก็บอกว่าไม่กลับจะพาพี่จาให้กลับไปสุรินทร์อย่างเดียว”
เผย “พ่อจา พนม” บอกจะพาลูกชายไปทำพิธีปะกำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ได้ทำพิธีดังกล่าวไปแล้ว
“เขาบอกว่าจะเอาพี่จาไปทำพิธีประกำ ซึ่งก่อนที่น้องบุ้งจะคลอดน้องจอมขวัญประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์พี่จาก็ได้ขึ้นไปสุรินทร์เพื่อไปทำพิธีนี้มาแล้วแล้ว จู่ๆ เขาก็มาบอกให้ไปทำอีกแล้วเราก็เลยรู้สึกว่างงๆ แต่อย่างที่บอกทั้งหมดที่ปลาอยากจะให้ข่าวคือพี่จาได้พบคุณพ่อแล้วและพี่จาไม่ได้ต้องการที่จะหลบหลีกหน้าคุณพ่อไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะเขาทำงานและทุกครั้งที่คุณพ่อมาก็จะมาโดยที่ไม่ได้นัดจู่ๆ ก็โผล่มาเลยแล้วมาแบบว่าให้ชายฉกรรจ์สองคน ซึ่งเราไม่รู้จักมาด้วยแล้วบ้านเรามีแต่ผู้หญิงมันอันตราย”
“ส่วนตัวปลาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้เลย แต่ที่ออกมาในตอนนี้เพราะอยากที่จะให้นักข่าวรู้ว่าจริงๆ พ่อพี่จาไม่ได้ป่วยอย่างที่เป็นข่าว และปลาจะโดนคุณพ่อพี่จาทำร้ายถ้าปลาหลบไม่ทัน ซึ่งบอกไว้เลยว่าถ้าเมื่อวานปลาโดนพี่ๆ ได้ทำข่าวกันสนุกแน่ เพราะปลาไม่ยอมแน่ๆ แต่บังเอิญว่าไม่โดน”
เผย “จา พนม” ไม่โกรธพ่อ
“พี่จาเขาไม่ได้โกรธพ่อ เขาบกว่าเขาไม่เป็นไร เดี๋ยวให้พ่อใจเย็นกว่านี้แล้วค่อยมาคุยกัน เพราะแกรักพ่อของแกมากอยากที่จะรีบทำงานให้เสร็จแล้วเดี๋ยวจะกลับไปหาพ่อ ส่วนเรื่องร้องไห้เสียใจอันนี้ปลาไม่เห็นนะ เพราะปลาให้คนดูแลอีกคนพาพี่จาออกไปก่อนตอนที่เกิดเรื่องแล้วปลาก็มาอยู่กับคุณป๊าพ่อน้องบุ้งกี้ เพราะคุณพ่อเป็นคนที่อยากให้พี่จามาคุยกับคุณพ่อเขาจะได้จบๆ ไปไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวบอกว่าถูกกีดกัน”
อย่างไรก็ตามตอนนี้ฝั่งภรรยาของ “จา พนม” ได้ไปแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะหวั่นว่าชายฉกรรจ์สองคนที่พกปืนมาที่บ้านอาจมาทำอันตราย ส่วนทางด้าน “พ่อของจา พนม” นั้นตอนนี้ยังเก็บตัวเงียบ “โจ ธรัช ศุภโชคไพศาล” น้องเขยจา พนมที่เคยพาพ่อจา พนมมาเปิดแถลงข่าวก็ปิดโทรศัพท์มือถือไม่ออกมาให้ข่าวแต่อย่างใด
ที่มา: manager.co.th