“บิณฑ์" เดินหน้าทำหนังเด็ก “กรรไกร - ไข่ - ผ้าไหม สองบาทห้าสิบ” เป็นเรื่องราวเด็กอีสานเข้ามาเรียนอินเตอร์ เจ้าตัวบอกเน้นความสนุกสนาน และทรอดแทรกความสามัคคี ไม่หวังกำไรขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ หลังจากทำหนังเด็กปัญญาเรณูมาแล้วถึง 3 ภาค ล่าสุด “บิณฑ์ บันลือฤทธิ์” ก็เดินหน้าทำหนังเกี่ยวกับเด็กอีกเรื่อง “กรรไกร - ไข่ - ผ้าไหม สองบาทห้าสิบ” โดยยังคงมีเรื่องราวของเด็กอีสานเหมือนเดิม แต่คราวนี้เป็นเด็กอีสานเข้ามาเรียนโรงเรียนนานาชาติ ทำให้เกิดเรื่องราวความสนุกสนานขึ้นมากมาย และที่สำคัญบิณฑ์บอกว่า หนังทุกเรื่องที่เขากำกับการแสดงจะสอดแทรกเรื่องความสามัคคีด้วย
"สำหรับชื่อเรื่อง กรรไกร - ไข่ - ผ้าไหม สองบาทห้าสิบ ผมได้มาจากการที่ไปที่ไหนก็เห็นเด็กๆ เล่นกัน เราก็คิดว่าเอาชื่อนี้น่าจะดี ซึ่งมันรวมหมดไม่ว่าจะเด็กเล็กเด็กโตใครๆ เขาก็ต้องเล่นและเคยเล่น และมันก็สื่อถึงความวุ่นวายของเด็ก ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อถึงภาพยนตร์เด็กคือตั้งแต่ 8 ขวบถึง 14-15ปี"
"เรื่องราวจะเกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติ ผมจะเอาเด็กทางภาคอีสานของแก๊งค์ปัญญาเรนูเข้ามาเรียนในกรุงเทพ แล้วก็จะฝึกพูดภาษาอังกฤษกัน คือทุกคนที่เคยพูดอีสานก็จะมีพัฒนาการเป็นพูดภาษาอังกฤษกันเลยก็เป็นเรื่องราวที่เด็กในโรงเรียนอาจจะมีแกล้งกันบ้างแต่ก็มีความสามัคคีพาโรงเรียนไปแข่งขันเอาให้โรงเรียนชนะให้ได้"
"ทำภาพยนตร์กับเด็กๆ ก็ยุ่งเหมือนเดิมครับแต่ก็สนุกดีครับมันก็เป็นสีสันอย่างหนึ่งครับ อย่างน้องน้ำขิง(สุธิดา หงษ์สา)ก็ยังเล่นเรื่องนี้ เขาก็ทุกข์สุขกับเรามาตั้งแต่เรื่องแรกมาแล้วครับ เราก็ไม่ทิ้งแต่ว่าก็มีน้องๆ หน้าใหม่หลายคนนะครับ ซึ่งแต่ละคนก็มีตำแหน่งและมีดีกรีทุกคนครับ"
"ส่วนฉากที่ยากจริงๆ ก็เป็นฉากที่น้องใหม่ๆ ต้องไปฝึกร้องเพลงฝึกเต้นกันเยอะมากเพราะเราใช้เพลงใหม่ 2 เพลงเลยนะครับ และน้องๆ ก็บ่นว่ายากมากเพราะคุณครูสอนยากมากแต่ออกมาแล้วสนุก"
"โดยเรื่องนี้มีฉากใหญ่เยอะและมีฉากที่รวมนักกีฬาลีลาศแชมป์ประเทศไทย รวมเด็กๆ ทุกรุ่นซึ่งผมต้องกราบเรียนเชิญมาเลยเพราะว่าผมอยากให้ทุกๆ คนเห็นการเต้นลีลาศ ซึ่งการเต้นลีลาศเป็นการออกกำลังกายได้ดีมากหลายๆ ที่เขาก็พยายามรณรงค์เรื่องการเต้นลีลาศกัน อย่างเด็กอายุรุ่น 7-8 ขวบเต้นลีลาศกันเก่งมากๆ ผมก็อยากจะให้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เอากีฬาการเต้นลีลาศมาทำอย่างนี้"
คาดหวังเพียงให้ผู้ชมชอบและไม่ขาดทุนและได้รับความสนุกสนานจากภาพยนตร์เรื่องนี้
"เรื่องความคาดหวังผมก็คาดหวังทุกเรื่องครับ ก็เอาเป็นว่าทุกๆ คนชอบถูกใจรายได้ไม่ต้องมากก็ได้ให้ไม่ขาดทุนแล้วทุกๆ คนชอบก็โอเคแล้วครับ"
"สำหรับสิ่งที่ผู้ชมจะได้สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ แน่ๆ เลยคือความสนุกสนานความบันเทิงจากภาพยนตร์ และภาพยนตร์ของผมทุกเรื่องจะมีสอดแทรกเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ประเทศชาติเรื่องราวของความรักความสามัคคีและความสร้างสรรค์กันซึ่งมีในภาพยนตร์ที่ผมทำในทุกๆ เรื่อง ส่วนกำหนดเข้าฉายหน้าจะได้ชมอย่างช้าสุดก็เดือนธันวาคมปีนี้ ถ้าเร็วสุดก็หน้าจะเดือนพฤศจิกายนปีนี้แน่นอนครับ"
ที่มา: manager.co.th