Author Topic: ได้แล้ว! เศียรพระเก่าแก่ - พร้อมพระกรุกลางน้ำโขง แถมเจอเปลวรัศมีพระในตำนานด้วย  (Read 744 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46027
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai






เชียงราย - ขุดขึ้นจากใต้ผืนทรายกลางน้ำโขงแล้ว พระพุทธรูปขนาดใหญ่ พบเศียรพระยังคงสมบูรณ์ ก้นหอยชัด แต่ส่วนอื่นเสียหาย คาดอายุ 400-800 ปี ทั้งยังเจอพระกรุแตกกลางน้ำอีกเพียบ ฮือฮาซ้ำมีเปลวรัศมีสภาพสมบูรณ์สุด คาดเป็น “พระเจ้าล้านตื้อ” ที่ค้นหากันมานาน
       
       วันนี้ (6 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงรายว่า หลังชาวบ้านและชาวประมงฝั่งบ้านร่มเย็น เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พบพระพุทธรูปขนาดใหญ่ คาดว่าเป็นพระประธานวัดโบราณ โผล่ขึ้นมาบริเวณหาดทรายในแม่น้ำโขงช่วงน้ำลด และเมื่อใช้รถแบ็กโฮขุดโดยรอบ พบโบราณวัตถุเป็นอิฐ พระพุทธรูปขนาดเล็ก ทั้งที่ทำจากอิฐ ดินเผา โลหะจำนวนมากนั้น
       
       ล่าสุดได้มีความพยายามนำพระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นมา โดยใช้รถแบ็กโฮขุดโดยรอบ และชักลากขึ้นมา ปรากฏว่าองค์พระพุทธรูปใหญ่กว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะมีหน้าตักกว้างประมาณ 4 เมตร เป็นกว่า 6-7 เมตร แต่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ และเสียหายไปตามกาลเวลา เหลือส่วนที่เป็นชิ้นใหญ่คือเศียรพระ ที่มีก้นหอยให้เห็นชัดเจน คล้ายกับพระพุทธรูปยุคสุโขทัยและเชียงแสน ส่วนกลาง หน้าตัก ขา
       
       นอกจากนี้ยังพบพระเครื่องจำนวนมากคล้ายกรุแตก และเปลวรัศมีสร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ กว้างประมาณ 10 เซนติเมตร สูงประมาณ 20 เซนติเมตร ที่ยังคงสภาพสวยงามด้วยลักษณะเปลวไฟชัดเจน แต่อาจจะไม่ใช่ของพระประธานองค์ดังกล่าว เนื่องจากองค์พระประธานสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน ภายในเห็นอิฐก้อนใหญ่เป็นส่วนประกอบ จึงคาดกันว่าเปลวรัศมีดังกล่าวน่าจะเป็นของพระพุทธรูปที่สร้างจากโลหะอีกองค์ ซึ่งอาจจะเป็น “พระเจ้าล้านตื้อ” ที่ชาวเชียงแสนเคยพยายามค้นหาบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสนมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบ
       
       โดยชาวบ้านฝั่งลาวระบุว่าน่าจะเป็นเปลวรัศมีของพระเจ้าล้านตื้อที่เล่าขานกันว่าเป็นพระประธานขนาดใหญ่ เคยประดิษฐานอยู่ที่เกาะกลางแม่น้ำโขง แต่สูญหายไปหลังจากแม่น้ำโขงเปลี่ยนทิศทางในอดีต และวัดกลางเกาะก็จมหายไปด้วย ส่วนเศียรพระดังกล่าวน่าจะมีอายุประมาณ 400-800 ปี
       
       และหลังจาก สปป.ลาวได้นำโบราณวัตถุทั้งหมด รวมทั้งองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้นมาไว้บนฝั่ง มีชาวลาวและชาวไทยที่นั่งเรือข้ามไปดูต่างพากันนำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชาอย่างคับคั่ง ซึ่งทางการ สปป.ลาวเปิดให้เข้าไปกราบไหว้บูชา โดยมีเจ้าหน้าที่รวมทั้งคณะกรรมการหมู่บ้านร่มเย็นดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเกรงว่าจะสูญหาย เพราะเริ่มมีผู้คนทั้งฝั่งไทย และ สปป.ลาวไปร่วมพิสูจน์มากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาเซียนพระที่เริ่มให้ความสนใจ เพราะถือว่ากรุแตกกลางแม่น้ำโขงไม่ค่อยพบเห็นบ่อยครั้งมากนัก
       
       ด้าน ดร.ทองฤทธิ์ หลวงโคตร ผู้เชี่ยวชาญประจำกองโบราณคดี สปป.ลาว กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีองค์ประกอบไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะส่วนสำคัญที่สามารถบ่งชี้ยุคจัดสร้างได้ คือฐานองค์พระ ดังนั้นเบื้องต้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าสร้างขึ้นในยุคใด
       
       อย่างไรก็ตาม ดินแดนแห่งนี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่อาณาจักรสุวรรณโคมคำ และเชียงแสนโบราณหลายยุคจึงทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง และต่อไปคงจะนำโบราณวัตถุทั้งหมดไปเก็บเอาไว้ที่แขวงบ่อแก้วเพื่อความสะดวกในการเก็บรักษา ศึกษา และป้องกันการถูกโจรกรรม หลังจากนั้นจะนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ที่หมู่บ้านร่มเย็น หรือซ่อมแซมบูรณะอย่างไรต่อไป
       
       พระอาจารย์อธิการ อภิชาติ เจ้าอาวาสวัดสบกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว กล่าวว่า ตามประวัติเล่ากันว่าบ้านร่มเย็น และ ต.สบกกเคยอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่งเดียวกัน จึงมีวัดต่างๆ ที่ชาวบ้านสักการบูชาร่วมกันมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุวรรณโคมคำเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน ถัดมาเป็นสมัยเมืองเชียงแสนตอนกลาง และตอนปลาย มีวัดต่างๆ มากมาย เมื่อแม่น้ำโขงเปลี่ยนทิศทางจึงได้แยก 2 หมู่บ้านออกจากกัน แต่ชาวบ้านก็ยังคงเป็นญาติมิตรติดต่อกันมาโดยตลอด

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)