เนคเทคผนึกซิป้าสำรวจตลาดอุตสาหกรรมไอซีที ปี 2551 พบมีมูลค่าการใช้จ่ายและบริโภคสินค้าไอซีที 542,854 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.3 % ส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายในตลาดสื่อสาร 379,216 ล้านบาท รองลงมาเป็นตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ตลาดคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ และตลาดด้านการบริการคอมพิวเตอร์ เผยปีนี้ตัวเลขใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเติบโตในอัตราลดลงเหลือเพียง 5.2 % เพราะพิษเศรษฐกิจ
นายจำรัส สว่างสมุทร ที่ปรึกษาโครงการสำรวจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ NECTEC เปิดเผยว่า สถานการณ์ในประเทศไทยช่วงปี 2551 ที่ผ่านมามีความผันผวนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี และทวีความรุนแรงในช่วงปลายปี ประกอบกับความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลเด่นชัดในช่วงปลายปี โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ ทำให้เกิดการชะลอการใช้จ่ายในภาครัฐ
ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดไอซีทีในภาพรวมเช่นกัน จากการสำรวจในปี 2551 พบว่าประเทศไทยมีการใช้จ่ายในสินค้าและบริการด้านไอซีทีโดยรวมเท่ากับ 542,854 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เพียง 8.3% ซึ่งน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ 13.1 % และพบว่าแนวโน้มของการใช้จ่ายในกลุ่มต่างๆ ยังคงเป็นรูปแบบเดิม คือ การใช้จ่ายส่วนใหญ่อยู่ในตลาดสื่อสาร ซึ่งคิดเป็น 69.9% หรือมีมูลค่าสูงถึง 379,216 ล้านบาท
ขณะที่ลำดับรองลงมา ได้แก่ การใช้จ่ายในตลาดคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ตลาดคอมพิวเตอร์13.9% มูลค่าคิดเป็น 75,720 ล้านบาทซอฟต์แวร์ 11.6 % มูลค่า 62,937 ล้านบาท และ ตลาดบริการด้านคอมพิวเตอร์ 4.6 % มูลค่า 24,981 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2552 ตลาดไอซีทีจะมีการเติบโตจากปี 2551 ด้วยอัตราที่ลดลง คือเติบโตเพียง 5.2 % ถือได้ว่าเป็นค่าต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากปัจจัยด้านราคาที่ลดลงโดยปรกติแล้ว ยังคาดว่าเป็นผลกระทบสืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจจากทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ก่อตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2551 และส่งผลสืบเนื่องต่อมายังต้นปี 2552 อย่างไรก็ตาม ตลาดที่คาดว่าจะมีการเติบโตสูงสุดในปี 2552 ได้แก่ ตลาดบริการด้านคอมพิวเตอร์ เติบโตที่ 14.2% รองลงมา ได้แก่ ตลาดสื่อสาร และตลาดคอมพิวเตอร์ เติบโตอยู่ที่ 5.6% และตลาดซอฟต์แวร์ 5.1% ในขณะที่ตลาดฮาร์ดแวร์นั้นคาดว่าจะไม่มีการเติบโตเท่าที่ควร
นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศ จำเป็นต้องมีการสำรวจตลาดอุตสาหกรรมทุกปี เพื่อนำข้อมูลมากำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศโดยมูลค่าตลาดไอซีทีที่เกิดขึ้นนั้นจากการสำรวจในปี 2551 อยู่ที่ 542,854 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 8.3% ซึ่งดูเหมือนว่าจะเจริญเติบโตที่ต่ำลง แต่กระทรวงไอซีทีมองภาพรวมของประเทศว่า การพัฒนาด้านไอซีทีของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเห็นได้ชัดเจนว่าในแต่ละปีประชาชนคนไทยใช้ไอซีทีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆในกลุ่มของอาเซียนที่มีการพัฒนาระบบไอซีทีให้มีความก้าวหน้าในระดับโลกได้อย่างไม่ยาก
ดร.รุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า
ดร.รุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ โดยซิป้าได้ติดต่อทำข้อตกลงกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างพันธมิตร แต่ส่วนสำคัญคือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์เองต้องทำหน้าที่พัฒนาตัวเองควบคู่ไปด้วย จากตัวเลขมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมไอซีทีไทยโดยรวมเท่ากับ 542,854 ล้านบาท และเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ พบว่ามีมูลค่าตลาดเท่ากับ 62,937 ล้านบาทมีการเติบโตจากเดิม 11.2 % และคาดว่าในปี 2552 ตลาดซอฟต์แวร์จะมีมูลค่าเท่ากับ 66,117 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการเติบโตจากเดิม 5.1 %
"ถ้าเรามองการเติบโตของปี 2552 ดูเหมือนว่าลดน้อยลง แต่ปัจจัยที่ควรสังเกตคือ ทุก 100 บาทที่มีการใช้จ่ายซื้อฮาร์ดแวร์นั้น จะมีการใช้จ่ายเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์และการบริการด้านคอมพิวเตอร์ 83 บาท และ 33 บาทตามลำดับ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ เนื่องจากบริษัทหรือผู้ประกอบการ SME จะต้องปรับปรุงการบริหารจัดการองค์กรของตนในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้”
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจมูลค่าตลาดนั้น ซิป้าจะนำผลการสำรวจมาใช้ในการเพิ่มกลยุทธ์เและปรับนโยบายเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ โดยจะพยายามผลักดันให้ตลาดซอฟต์แวร์มีมูลค่า 100,000 ล้านบาท โดยให้เพิ่มมากขึ้นจากมูลค่าการตลาดที่คาดการณ์ไว้ข้างต้น
ที่มา:
http://www.manager.co.th