ณวีระ อารีรัตนศักดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศ บริษัท เน็ตแอพ ประเทศไทย จำกัด เน็ตแอพ ประเทศไทย เผยผลประกอบการปี 2555 เพิ่มขึ้นจากรายได้รวมทั้งปี 2554 ประมาณร้อยละ 25.3 มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 60 ราย เผยการเติบโตดังกล่าวเกิดจากการขยายขอบข่ายธุรกิจ ทั้งผลิตภัณฑ์และการเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตร รวมทั้งการให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าด้านราคาและประสิทธิภาพการใช้งานแก่ลูกค้า เล็งเจาะตลาดบิ๊กดาต้าและคลาวด์ในอุตสาหกรรม การเงิน โทรคมนาคม พลังงานและน้ำมัน การผลิต และรถยนต์ เชื่อปีนี้จะเติบโตในอัตรา 50% เช่นเดิม นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เน็ตแอพ (ประเทศไทย) กล่าวว่า รายได้รวมในปี 2555 ของเน็ตแอพ ประเทศไทย เพิ่มขึ้นจากรายได้รวมทั้งปี 2554 ประมาณร้อยละ 25.3 มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจำนวน 60 ราย โดยเป็นกลุ่มลูกค้าในบริษัทอุตสาหกรรม พลังงาน การเงิน และโทรคมนาคม โดยภาพรวมไตรมาสที่4 ประจำปี 2555 ผลการดำเนินงานของเน็ตแอพอยู่ในระดับที่น่าพอใจอย่างมาก มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2554 นับว่ามีการเติบโตสูงสุดในประเทศไทยในกลุ่มสตอเรจภายนอก (external storage)
ในปี 2012 ไอดีซีคาดการณ์ไว้ว่า 66.7 ล้านเหรียญ แต่ความจริงตลาดติดลบ 8.9% ทำให้เน็ตแอพเติบโตมากกว่าตลาด โดยมีลูกค้ารายใหม่ ทุกๆ 1 สัปดาห์ มีลูกค้าใหม่ 1.3 ราย โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มการเงินการธนาคาร อุตสาหกรรมการผลิต ตลอดจนนักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มย้ายฐานมาในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
นายวีระ กล่าวว่า การเติบโตของเน็ตแอพดังกล่าวเกิดจากการขยายขอบข่ายการทำธุรกิจ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตร การให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าด้านราคาและประสิทธิภาพการใช้งานแก่ลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดกลาง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ FAS โดยให้ความสำคัญกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวล พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ E-Series ซึ่งเป็น Flash Technology เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีสภาพแวดล้อมปริมาณการใช้งานข้อมูลที่สูงอีกด้วย
“เน็ตแอพในเมืองไทยโตเพราะเราไม่ได้เน้นฮาร์ดแวร์อย่างเดียว เรามองไปที่ลูกค้าว่าสิ่งที่ลูกค้าเคยทำเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยนำเสนอมุมมองใหม่ๆ และปรับให้องค์กรของลูกค้าสามารถใช้งานได้ดีกับเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยปัจจัยบวกคือปริมาณดาต้าโตขึ้น 30% ทั่วโลก สำหรับในเมืองไทยคนใช้งานมือถือเพิ่มมากขึ้น 3G มาจะเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และมีการเพิ่มมูลค่าการใช้งานทำให้ต้องใช้งานข้อมูลสูงขึ้น และเป็นโอกาสดีที่เน็ตแอพจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ลูกค้า”
สำหรับตลาดสตอเรจ ในประเทศไทย ในปี 2556 จะมีมูลค่าประมาณ 114 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3-4 พันล้านบาท) ทั้งอินเทอร์นอลและเอ็กซ์เทอร์นอล โดยถ้ามองเฉพาะเอ็กซ์เทอร์นอล ตลาดจะเติบโตประมาณ 7% ส่วนตลาดอินเทอร์นอลจะติดลบ 3% ทำให้ภาพรวมทั้งตลาดเติบโตเฉลี่ยที่ 3% ซึ่งการที่ตลาดอินเทอร์นอลลดลงเนื่องจากเทรนด์การใช้งานของลูกค้าเปลี่ยนไปเป็นการใช้การอินทริเกชัน ในการนำผลิตภัณฑ์จากหลายแบรนด์ที่ดีที่สุดมาใช้งานร่วมกันจากเดิมใช้แบรนด์เดียวกันทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเน็ตแอพ มีแผนที่จะลงทุนและขยายการให้บริการเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มหลัก อาทิ กลุ่มสถาบันทางการเงิน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม พลังงานและน้ำมัน กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเน็ตแอพเชื่อมันว่าปีนี้จะเติบโตในอัตรา 50% เช่นเดิม
สำหรับตลาดคลาวด์ในปีที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวเริ่มติดตั้งและใช้งานจริง ดังนั้นเน็ตแอพมุ่งเข้าสู่ตลาดนี้ในการเข้าไปนำเสนอให้ลูกค้าไปเข้าสู่ดาต้าเซ็นเตอร์แบบอนาคตที่มีการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานเสมือนจริง ซึ่งเป็นรากฐานอันสำคัญจะนำองค์กรต่างๆไปสู่ คลาวด์ คอมพิวติ้ง ช่วยให้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน รวมถึงการใช้ ยูนิไฟล์ สตอเรจ ของเน็ตแอพ
นายวีระ กล่าวว่า นอกเหนือไปจากการเน้นจากด้านนวัตกรรมแล้ว ในส่วนของตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่นั้นเน็ตแอพได้ขยายฐานด้านผลิตภัณฑ์ ทั้งผลิตภัณฑ์ในรุ่น FAS3000 และเทคโนโลยีแฟลช เพื่อตอบสนองรองรับปริมาณข้อมูลที่มากขึ้นของลูกค้า และอไจล์ ดาต้า อินฟราสตรัคเจอร์ คือตัวช่วยในการจัดการด้านไอทีที่ชาญฉลาด เพื่อให้ผู้ใช้ สามารถทำงานได้อย่างไม่มีสะดุด และไร้ข้อจำกัด นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาออกแบบให้โครงสร้างพื้นฐานในการจัดการจัดเก็บข้อมูลสามารถจัดประเภทข้อมูล (clustering) พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์สตอเรจแบบยูนิไฟล์ และ ซอฟท์แวร์ที่ช่วยจัดการปริมาณข้อมูลอันมหาศาล
ที่มา: manager.co.th