“ปุ๊กลุ๊ก” ไม่เชื่อว่า “ลูกเกด” จะบอกว่าตนเป็น “ดีนี่” ในวงการบันเทิง ยันหน้าม่านกับหลังม่านเป็นคนเดียวกัน และไม่ทราบว่าลูกเกดพูดถึงใคร หลังจากที่นักแสดงสาว “ปุ๊กลุ๊ก ฝนทิพย์ วัชระตระกูล” ได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการ “Dancing with the Stars Thailand” ประกวดเต้นซึ่งมี “ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม” ร่วมกับกันตนาเป็นผลิตรายการ ก็มีกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ปุ๊กลุ๊กออกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ใช้ในการแข่งขันที่โป๊สุดๆ รวมไปถึงการเป็นลมล้มพับในรายการก็มีมาแล้ว
จากกรณีดังกล่าวทำให้ลูกเกด เมทนี ได้ไปออกรายการรายการหนึ่ง แล้วพูดถึงคนที่มาร่วมแข่งขันในรายการว่าเป็น “ดีนี่” ตัวละครมารยาริษยา ที่มีนิสัยเสแสร้งแกล้งแอ๊บแบ๊ว โดยสิ่งที่พูดถึงนั้นหลายคนตั้งเป้าไปว่าดีนี่ที่ลูกเกดพูดถึงคือปุ๊กลุ๊ก
“คือหนูว่าพี่เกดไม่ได้หมายถึงหนูแน่นอน เพราะว่าหนูรู้สึกว่าทุกคนรู้จักหนูที่หน้าม่านและหลังม่านเป็นคนๆ เดียวกันค่ะ ไม่ใช่หนูแน่นอนค่ะ แล้วที่เขาบอกว่าแกล้งป่วยสร้างกระแสให้ตัวเองก็ให้มันเป็นเรื่องที่พี่เกดออกมาพูดดีกว่า แต่ว่าตัวหนูเองไม่ได้รู้สึกอะไรและไม่ได้หมายถึงหนูแน่นอน แล้วพี่เกดก็ยังเป็นพี่ที่รักและเคารพอยู่ตลอดเวลา (คนคิดไปแล้วว่าเป็นเรา?) คือไม่อยากให้ไปโฟกัสว่าพี่เขาหมายถึงใคร ไม่ใช่หนูเพราะหน้าม่านกับหลังม่านหนูเป็นคนเดิมคนเดียวไม่มีแยกร่างค่ะ”
“ซึ่งเอาจริงๆ ในรายการเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยค่ะ เพราะผู้เข้าแข่งขันกันในรายการสนิทกันหมด แต่ถ้าบอกว่าทุกการสัมภาษณ์เหมือนชี้ว่าเป็นหนู หนูก็ไม่ขอแสดงความคิดเห็นอะไรแล้วกันค่ะ แต่พี่เกดก็ยังเป็นผู้ใหญ่ที่หนูรักและเคารพเหมือนเดิม และเราคงไม่ต้องเคลียร์กันค่ะ เพราะว่าเราก็ทำทุกอย่างจบแล้วรายการก็จบแล้วเราก็ทำเต็มที่ที่สุด อย่างเรื่องเป็นลมมันคุ้มเหรอค่ะที่หนูต้องเข้าโรงพยาบาลต้องเจาะน้ำเกลือหนูว่ามันไม่คุ้มค่ะ”
ยันถ้าผู้ใหญ่เห็นควรร่วมงาน “ลูกเกด” อีกตนก็ยินดี
“ถ้าจะพูดถึงกล้าไปร่วมงานกับเขาอีกไหม ก็ถ้าจะได้ร่วมงานกันจริงๆ มันก็ต้องผ่านผู้ใหญ่หลายฝ่าย ถ้าผู้ใหญ่เห็นว่าหนูสามารถร่วมงานได้หนูก็ทำได้ค่ะ เพราะว่าหนูไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ เราก็ไม่ได้แคลงใจอะไรเพราะว่าเราก็ทำทุกอย่างออกมาเต็มที่ เพื่อให้รายการออกมาดี”
“งงนะว่าทำไมถึงเป็นข่าวออกมาอย่างนี้ เอาจริงๆ รายการก็ไม่ได้ดูแต่มีคนมาถามแต่ว่าไม่ได้ดูรายการม่ได้ติดใจสงสัย มันผ่านมาแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องมานั่งรื้อฟื้นทุกคนน่ารัก เราเลยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเราไม่ได้ทำแต่ถ้าทำเราจะรู้สึก”
ที่มา: manager.co.th
