“ชัญญ่า” เปิดใจครั้งสุดท้ายขอยุติพูดถึง “ฟลุค เกริกพล” เพราะไม่อยากติดกับดัก เผยเหตุโชว์ SMS เพราะบริสุทธิ์ใจ อยากพูดความจริง ยกธรรมะเข้าข่ม วอนฟลุครักษาคำพูด ขอให้หยุดอย่างที่ลั่นวาจามาหลายที ด้าน “เจ๊เบียบ” บอกผู้ชายควรมีความเป็นสุภาพบุรุษ จะพูดอะไรต้องนึกถึงแม่และน้องสาว ส่วน “จิ๊บ อติกานต์” ซัดเป็นผู้ชายต้องระวังคำพูด
หลังจากที่ “ฟลุค เกริกพล มัสยวานิช” เปิดฉากจวก “ชัญญ่า ทามาดะ” ถึงขั้นขึ้น “มึง-กู” สร้างความตกตะลึงไปทั่ววงการ แทบไม่น่าเชื่อว่า พระเอกคนดังจะใช้คำรุนแรงกับผู้หญิง แถมยังไม่หยุดพูดถึงเรื่องดังกล่าวทั้งที่ได้ใหสัมภาษณ์ว่าจะหยุด ล่าสุด ก็ไปโฟนอินในรายการ “แฉแต่เช้า” เล่นเอาชัญญ่าถึงกับเครียดจัดที่ฟลุคไม่ยอมจบซักที และได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับเอเอสทีวีบันเทิงออนไลน์เป็นที่แรกที่เดียวประกาศยุติเรื่องราวทั้งหมด และจะไม่ขอพูดถึงฟลุคอีกต่อไป
“ชัญญ่า ขอพูดครั้งนี้ครั้งเดียว และจะไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป ชัญญ่า อยากขอร้องพี่ฟลุคว่า เรื่องราวที่ผ่านมาไม่มีอะไรมากเลย แต่ถ้าเราต่างคนต่างพูดกันไปมาอย่างนี้ทุกอย่างก็ไม่จบ ที่ชัญญ่าต้องพูดออกไปหรือแม้แต่เอา sms ของพี่ฟลุค ออกมาให้พี่ๆ นักข่าวดูเพราะชัญญ่า คิดว่า ชัญญ่าบริสุทธิ์ใจทุกอย่าง และชัญญ่าก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนพูดโกหก ถ้าพี่ฟลุคจะหยุดพูดถึงเรื่องนี้ชัญญ่าก็จะขอบคุณมากค่ะ และหวังเป็นอย่างยิ่งจริงว่า พี่ฟลุคจะรักษาคำพูดของตัวเองที่บอกว่า จะไม่พูดเรื่องชัญญ่าอีก”
“ที่ผ่านมา ชัญญ่า เครียดมาก แต่ชัญญ่าก็พยายามที่จะไม่คิดมาก เพราะโลกทุกวันนี้ เราไม่สามารถรู้จักตัวตนของใครสักคนได้อย่างจริงๆ จังๆ เลย วันนี้ข่าวของชัญญ่าเป็นลบ คนก็เข้ามาอ่านแล้วด่าชัญญ่าเสียๆ หายๆ หรือวันพรุ่งนี้พี่ฟลุคแฉชัญญ่าเรื่องต่างๆ คนก็เข้าข้างพี่ฟลุค แต่จริงๆ แล้วข่าวต่างๆ นานา นี้ ก็ไม่มีผลดีกับใครทั้งสิ้น”
“คำว่าข่าว หรือการเล่นข่าวก็แล้วแต่ความเก๋าเกมของคนและการมีคอนเนกชันต่างๆ ในวงการบันเทิง ชัญญ่าไม่เคยเข้าวงการบันเทิง ชัญญ่าตามเกมพี่ฟลุคไม่ทันหรอกค่ะ เพราะพี่ฟลุคย่อมรู้ดีที่สุดว่า จะพลิกสถานการณ์ที่มีตอนนี้ให้เป็นดำหรือขาว ทุกอย่างอยู่ที่การเล่นข่าว หรือประโคมข่าวจริงๆ”
“ชัญญ่า เชื่อว่า คนที่อ่านข่าวต่างก็มีวิจารณญาณ และคิดได้เองว่า อะไรควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ หรือแม้กระทั่งว่า จะเลือกเก็บบทเรียนอะไรจากข่าวมาใช้ในการดำเนินชีวิต ชัญญ่าจึงพยายามไม่คิดมาก บอกตัวเองให้อย่าหวั่นไหวกับลมปากของคนอื่น เพราะทุกอย่างอยู่ที่การกระทำของคนเราค่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างที่คนอื่นกล่าวหาหรือหลอกด่าเรา เราก็ต้องประคองจิตใจให้อย่าวูบวาบไปตามความคิดคนอื่น”
“สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นสิ่งที่ชัญญ่าเสียใจที่สุด คือ การที่ทำให้คุณแม่และป่าป๊ากลุ้มใจและเสียใจ และยังพี่วินทร์ ที่รักและคอยปกป้องชัญญ่าต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย พี่วินทร์ คอยปกป้องชัญญ่า ให้กำลังใจ ให้ความรัก ความเมตตาชัญญ่ามาตลอด แต่สิ่งที่พี่วินทร์ได้รับ คือ การถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ฉะนั้น มันจึงเป็นการดีกว่าที่ชัญญ่าจะแสดงความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของพี่วินทร์ด้วยการทำให้ทุกอย่างจบ พี่วินทร์ จะได้มีชีวิตตามปกติ ไม่ต้องคอยเช็กข่าวหรือผวากับโทรศัพท์แปลกๆ อีกต่อไป”
ส่วนเรื่องที่ “ฟลุค” ประกาศว่าหยุด แต่ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ และเมื่อเช้าก็ยังไปโฟนอินในรายการ “แฉแต่เช้า” นั้น “ชัญญ่า” ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ชัญญ่าขอไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ค่ะ เพราะชัญญ่าจบแล้วจริงๆ ค่ะ ถ้าอีกฝ่ายอยากพูดอะไรก็แล้วแต่วิจารณญาณของทุกคนนะคะว่า ควรเชื่อดีหรือไม่ ชัญญ่ามั่นใจว่าชัญญ่าอยากจบเรื่องนี้แล้วจริงๆ ค่ะ”
“เมื่อคืนคุณแม่ยกคำพูดของท่าน ว.วชิรเมธี มาสอนชัญญ่า ว่า ความไม่รุนแรงเป็นยอดแห่งธรรม ชัญญ่า เลยจะหยุด ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้วค่ะ เพราะคุณแม่สอนชัญญ่า ว่า ให้ทำสิ่งที่ยากที่สุด คือ การนิ่ง ไม่โต้ตอบ เพราะฉะนั้นอย่าหวั่นไหว ไม่งั้นเราพูดกลับไป ทุกอย่างจะถูกตีความได้หมด อย่าไปตามเกมเขา”
ทางด้าน “ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช” นายกสมาคมเสริมสร้างความครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข เจ้าแม่สายตรวจทางวัฒนธรรม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ พอทราบเรื่องนี้ก็คิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ข่าวที่สร้างสรรค์เลย ผู้ชายมีโอกาสเลือกมากกว่าผู้หญิง โดยหลักการทั่วไป ถ้าได้ผู้หญิงมายาก ก็มีคุณค่า ถ้าเขายังโสด เขาก็มีอิสระในการเลือก แต่ถ้าเขามีแฟนแล้ว ก็ควรจะซื่อสัตย์ ไม่อยากให้ดูถูกผู้หญิง”
“มันเป็นเรื่องของความสำนึกในการที่จะรักษาความเป็นสุภาพบุรุษได้มากน้อยแค่ไหน บางคนก็เก็บความลับได้ดี แต่ถ้าเป็นการเล่นกับข่าว ก็เป็นที่สนุกของนักข่าว เป็นเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณในการที่จะรู้ว่าควรจะตอบโต้ หรือเปิดได้มากแค่ไหนสังคมไทยนั้น ผู้ชายมีโอกาสเลือกมากกว่าผู้หญิง จึงมักจะทำอะไรได้โดยไม่มีข้อตำหนิ อยากให้นึกว่าถ้าเขามีแม่ น้องสาว พี่สาวเป็นผู้หญิง แล้วการที่จะทำให้คนอื่นเจ็บตัว โดยเฉพาะเป็นผู้หญิง ต้องคิดให้มากกว่านี้”
ด้าน “จิ๊บ อติกานต์ หนุนภักดี” เพลย์บอยกลับใจ หนุ่มเจ้าชู้ตัวพ่อของวงการที่หันมาปฏิบัติธรรม ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า
“เรื่องของน้องชัญญ่า กับคุณฟลุค ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง แต่เชื่อว่า คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากออกมาพูดให้ตัวเองเสียหายหรอก การที่ผู้ชายเราไปหยอดด้วยการพูดคำหวานกับผู้หญิง หรือส่ง SMS หวานๆ ให้เขา แม้จะคิดจีบหรือไม่จีบก็ตาม ถือเป็นการสร้างความหวังให้แก่ผู้หญิงแล้ว เพราะผู้หญิงจะคิดว่าผู้ชายมาชอบ ความรู้สึกตรงนี้มันเกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าคุณเป็นคนอย่างนี้ คือ ทำแล้วไม่ได้คิดอะไร ทำไมตอนแรกไม่บอกผู้หญิงไปล่ะว่าอย่าคิดมาก ก็ทำอย่างนี้กับทุกคนนะ แต่พอหยอดไปจนทำให้ผู้หญิงรู้สึกดี แล้วบอกไม่ได้คิดอะไร ผมว่ามันแปลกๆ นะ”
“ในความรู้สึกของผม ถ้าผู้หญิงมีผู้ชายมาทำดีด้วย มาหยอดคำหวานๆ ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว เพราะเพศหญิงเป็นเพศที่ต้องการความรัก และให้ความสำคัญกับเรื่องความรักมากๆ ดังนั้น ถ้าผู้ชายไปทำให้ผู้หญิงรักแล้วไปต่อว่าเขา อย่างนี้ก็ไม่ถูก”
“ผมคิดว่า ผู้ชายในฐานะที่เป็นผู้นำครอบครัว หรือผู้นำของผู้หญิง มีหน้าที่จะต้องเทคแคร์ผู้หญิงอยู่แล้ว ดังนั้นคุณจะต้องระวังระวังการพูดจา หรือการกระทำอยู่ตลอดเวลา คือ ต้องรู้จักป้องกันก่อนเกิดเหตุ การที่จะไปต่อว่าผู้หญิงว่ามาเองทำไมล่ะ ต้องบอกว่าเรื่องอย่างนี้ผู้หญิงตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ถ้าผู้ชายห้ามไว้ หรือไม่ออกมาเจอผู้หญิง ผู้หญิงเขาคงเกาะแขนเกาะขาคุณมาเองไม่ได้”
ทางด้านพระนักเทศน์ชื่อดัง “ท่าน ว.วชิรเมธี” ที่ “ชัญญ่า” ได้กล่าวถึง ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง “ภาพรวมของวงการบันเทิงไทย” ว่า
“ในวงการบันเทิงไทยก็มีดาราเนื้อดีมากมายที่อุทิศตนทำประโยชน์ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม รู้จักใช้ความโด่งดังของตนเองในทางที่เป็นกุศล เช่น คุณสรพงศ์ ชาตรี, แทนคุณ จิตต์อิสระ, นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์ เป็นต้น ส่วนดาราที่ปล่อยตัวให้เป็นข่าวฉาวโฉ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็มีเพียงไม่กี่คน แต่เป็นไม่กี่คนที่ทำให้คนในวงการบันเทิงพลอยมัวหมองไปด้วย”
“ดาราเป็นบุคคลสาธารณะ คุณทำอะไรๆ ใครๆ ก็จับตาดู ดังนั้น คุณต้องถามตัวเองว่า อยากให้สังคมดูคุณทำสิ่งที่มีสาระหรือสิ่งที่ไร้สาระ เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ที่ดาราในเมืองไทยบางคนไม่รู้จักใช้ความโด่งดังของตนเองไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่กลับใช้ความโด่งดังของตนเองไปในการสร้างเรื่องฉาวโฉ่ซ้ำแล้วซ้ำอีก อาตมาอยากจะเห็นดาราในเมืองไทยทำอะไรให้มีสาระ รู้จักประยุกต์ใช้ความดังของตนเองในการสร้างประโยชน์มากกว่าการสร้างภาพ หรือสร้างข่าว เพื่อให้มีชีวิตผ่านไปวันๆ ขอยกตัวอย่างดาราชั้นนำของโลก เช่น แองเจลิน่า โจลี่ ที่อุทิศตนเป็นทูตสันติภาพของสหประชาชาติ เจท ลี ที่ตั้งมูลนิธิ The One Foundation เพื่อระดมทุนช่วยเด็กยากจนทั่วโลก หรืออย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ ที่อุทิศตนไปช่วยเรื่องการศึกษาของเด็กยากจนในประเทศโลกที่ตามเป็นสิบปี”
“ดาราชั้นนำเหล่านี้เขามีแต่ชื่อเสียงโดยไม่ปล่อยให้เกิดชื่อเสีย และเรียนรู้ที่จะใช้ความโด่งดังของตนเองให้เกิดประโยชน์กับประชาชนที่เฝ้าติดตามด้วยความชื่นชมอย่างคุ้มค่าที่สุด ไม่เหมือนดาราเมืองไทยบางคนที่สามารถยึดพื้นที่ข่าวในสื่อบันเทิงได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความต่อเนื่องบนพื้นที่สื่อเหล่านั้นกลับมีแต่เรื่องข่าวฉาวโฉ่ ฉะนั้นดาราก็ดี ผู้สื่อข่าวสายบันเทิงก็ดี ควรจะหันมาพิจารณาร่วมกันว่า คนในวงการบันเทิง สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ ให้กับสังคมได้มากมาย ช่วยกันทำตัวให้น่าชื่นชม ไม่ใช่ทำตัวให้น่าเชยชมอย่างเดียวเท่านั้น”