'แอลจี' ลั่นไม่ขอเป็นผู้ตามในการทำตลาด หลังใช้เวลากว่า 2 ปี พัฒนาเทคโนโลยีหวังกลับขึ้นมาเป็นท็อป 3 ในตลาดสมาร์ทโฟน เบื้องต้นขอส่วนแบ่งตลาด 15% ในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง-บน ด้วย Optimus L Series พร้อมกับเปิดตัวสมาร์ทโฟนพรีเมียมรุ่นล่าสุด Optimus G เคาะราคาขาย 19,900 บาท ชูเป็นสมาร์ทโฟนที่ประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบันที่วางจำหน่ายแล้ว นายสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อิเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้แอลจีพร้อมที่จะกลับมารุกในตลาดสมาร์ทโฟนแล้ว หลังจากใช้เวลาในการปูพื้นเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีของตนเองมาใช้ในไลน์อัปสมาร์ทโฟนระดับกลางไปจนถึงไฮเอนด์
"ตอนนี้เกมในตลาดสมาร์ทโฟนเปลี่ยนไปแล้ว ถ้ามองกลับไป 3 เดือนย้อนหลัง จะเห็นว่าแอลจีมุ่งไปทำตลาดที่สามารถกำหนดทิศทางได้เอง ส่งผลให้เชื่อว่าในปีนี้จะสามารถขึ้นมาติดท็อป 3 ในตลาดสมาร์ทโฟนได้ และเชื่อว่าไม่มีผู้ผลิตรายได้ที่จะสามารถครองตลาดในระยะเวลายาวนานติดต่อกันได้"
นายสมศักดิ์ ยังคาดการณ์ว่า ตลาดรวมโทรศัพท์มือถือในปีนี้จะเติบโตมากขึ้นจากปัจจัยสำคัญคือ 3G ทำให้คาดว่าปริมาณโทรศัพท์ที่จำหน่ายในปีนี้จะเพิ่มจาก 15 ล้านเครื่องในปี 2555 เป็น 18-19 ล้านเครื่องในปี 2556 โดยคาดว่าสมาร์ทโฟนจะสามารถชิงสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากฟีเจอร์โฟนเป็น 40 - 45%
"ปี 2555 สัดส่วนระหว่างสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนในตลาดรวมอยู่ที่ 25% ต่อ 75% ส่วนในปีนี้คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะมีสัดส่วนมากขึ้นเป็น 8-9 ล้านเครื่อง หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตราว 300% เช่นเดียวกับช่วงปี 2553-2554 ที่มีอัตราการเติบโตในระดับดังกล่าว ส่วนปี 2554 กลับมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเหลือ 120% เท่านั้น"
นายศิวกร ดำรงภัทร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ให้ข้อมูลเสริมว่า ปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจโทรศัพท์มือถือของแอลจีมีสัดส่วนรายได้ราว 15% จากทั้งบริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าราว 2 พันล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 25% หรือราว 2.5 พันล้านบาท ที่ตั้งเป้าว่าจะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับราคา 5,000 - 20,000 บาทได้ราว 15% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มดังกล่าวราว 10%
อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แอลจีมีความหวังในตลาดสมาร์ทโฟนเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา หลังจากแอลจีเริ่มนำสินค้าในตระกูล Optimis L เข้ามาวางจำหน่าย ซึ่งมีความโดดเด่นในด้านดีไซน์เป็นหลัก สามารถทำยอดจำหน่ายในประเทศไทยไปได้ราว 1 แสนเครื่อง จาก 15 ล้านเครื่องทั่วโลก
ต่อมาก็เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผลที่สมจริง แบตเตอรี เซ็นเซอร์กล้อง และซอฟต์แวร์ ซึ่งชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ ผลิตและพัฒนาขึ้นภายในระบบนิเวศน์จากบริษัทลูกของแอลจีในแต่ละประเทศ ก่อนที่จะทยอยออกมาเป็นสินค้าเรือธงในช่วงที่ผ่านมาอย่าง Nexus 4 และมาถึงคราวของ Optimus G ที่เคลมว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในปัจจุบันที่วางจำหน่ายอยู่
สำหรับในปี 2556 แอลจีจะเน้นทำตลาดสมาร์ทโฟนไปใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ Optimus L ซีรีส์ 2 ที่จะทยอยเข้ามาแทนที่รุ่นเดิม เพื่อทำตลาดในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับราคา 5,000 - 12,000 บาท โดยมี Optimus 4X และ Optimus Vu ทำตลาดในช่วงราคา 15,000 บาท ก่อนที่จะมาเป็น Nexus 4 และ Optimus G ในช่วงราคา 17,900 และ 19,900 ตามลำดับ
"ในอนาคตช่วงปลายไตรมาสที่ 2 แอลจีก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่จะมาเสริมในตลาดระดับพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้นไปอีก อย่างตัว Optimus G Pro ที่จะขยับขนาดหน้าจอขึ้นไปเป็น 5.5 นิ้ว เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดต่อไป"
ส่วนแผนการทำตลาดในปีนี้ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือราว 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20% ผ่านทั้งการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ สื่อกลางแจ้ง เช่น ป้ายโฆษณาต่างๆ รวมกับการทำแคมเปญการตลาดออนไลน์ควบคู่กันไป
ทั้งนี้ แอลจี Optimus G เริ่มวางจำหน่ายแล้วในประเทศไทยสนนราคาเปิดตัวที่ 19,900 บาท รองรับการใช้งาน 3G ได้ทุกเครือข่าย ตัวเครื่องมาพร้อมกับหน้าจอ True HD IPS Plus ขนาด 4.7 นิ้ว กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon S4 Pro RAM 2 GB พร้อมหน่วยความจำในตัวเครื่องขนาด 32 GB
มีฟังก์ชันที่โดดเด่นขึ้นมาคือ QSlide ช่วยให้สามารถเปิดโปรแกรมทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน QuickMemo แอปพลิเคชันที่ให้ผู้ใช้สามารถจดบันทึกได้อย่างรวดเร็ว Live Zooming ช่วยให้สามารถขยายภาพยนตร์ขณะรับชมได้ถึง 5 เท่า Time Catch Shot ฟังก์ชันจับภาพต่อเนื่อง 5 ภาพเพื่อให้เลือกภาพที่ถูกใจที่สุด Dual Screen Play ใช้ในการแสดงผลไปยังอุปกรณ์ต่อพ่วงโดดสามารถแสดงคอนเทนต์ที่แตกต่างกัน
Company Relate Link :
LG
ที่มา: manager.co.th