พ่อ “จา พนม” ยื่นคำขาดให้จากลับสุรินทร์ใน 3 วัน ไม่อย่างนั้นถือว่าอกตัญญู บอกอยากให้มาเคลียร์กันทำไมทำแบบนี้ เฉ่งลูกสะใภ้ “บุ้งกี๋” ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กีดกันไม่ให้ลูกเจอพ่อ ก่อนโต้กลับ “เสี่ยเจียง” หลังขอให้ปล่อยจาไป บอกไม่ใช่ลูกตัวเองก็พูดได้สิ ด้าน “โจ” น้องเขยจาซัดบุ้งกี๋คงโกรธที่ตนไปแฉว่าเป็นหนี้ร้อยกว่าล้าน และจับผิดเรื่องที่เจ้าตัวเคยเป็นแฟนคลับจาแล้วไต่เต้ามาเป็นเมีย แถมเรียนไม่จบปีหนึ่ง ปล่อยตัวเองท้องแล้วมาแต่งงานกับจา ย้ำที่ออกมาไม่ใช่เรื่องเงิน ถามกลับบุ้งกี๋ทำไมต้องโกหก ศึกสายเลือดยังไม่จบ หลังจากที่ “นายทองดี ยีรัมย์” พ่อของ “จา พนม” โร่ไปแจ้งความที่ สน.บางกอกใหญ่ และออกรายการโทรทัศน์ ให้ข่าวว่าถูกลูกสะใภ้ “บุ้งกี๋ ปิยรัตน์” กีดกันไม่ให้เจอจานานกว่า 3 เดือน แถมยังบอกอีกว่า ล่าสุด ไปหาลูกชายที่บ้านก็ถูกลูกสะใภ้ไล่ออกจากบ้านถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน พร้อมระบุว่า ก่อนหน้านี้ จาดูแลครอบครัวดีมาโดยตลอด โดยส่งเสียครอบครัวราวเดือนละ 1 หมื่นบาท แต่ช่วงหลังจาไม่ได้ส่งเงินไปให้ครอบครัวเลย เปลี่ยนไปตั้งแต่มีลูกสะใภ้คนนี้เข้ามาในชีวิต
กระทั่งคนใกล้ชิดของ “บุ้งกี๋” เมียของจาได้ออกมาโต้กลับ พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่ครอบครัวจาให้ข่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ที่ผ่านมา บุ้งกี๋ดีกับครอบครัวสามีมาตลอด ทั้งเรื่องเงินทองและการดูแลเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญไม่เคยกีดกันไม่ให้จาไปพบพ่อแม่ เพราะรู้ดีว่าจาเป็นคนกตัญญูมาก รักพ่อแม่รักพี่รักน้อง แต่ยอมรับว่าบุ้งกี๋นั้นไม่ถูกกับน้องสาวและน้องเขยที่ของจาชื่อโจทำให้มีปัญหากันตลอด แต่เรื่องกีดกันไม่ให้เจอครอบครัวนั้นไม่เป็นความจริง
ซึ่งข่าวที่เกิดขึ้นทำให้จาถูกมองว่าอกตัญญู จนเป็นเหตุให้ทางด้านของ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” บิ๊กบอสสหมงคลฟิล์มในฐานะเจ้านายของจา ได้ออกโรงปกป้อง โดยยืนยันว่า จาเป็นคนกตัญญูและรักครอบครัวมาก ที่ผ่านมาดูแลและส่งเสียครอบครัวอย่างดีมาตลอด ทั้งยังบอกด้วยว่าจาไม่ใช่เด็กอายุ 15 แล้ว ตอนนี้มีลูกเมียที่ต้องดูแล และขอให้ครอบครัวปลงและปล่อยจาไป พร้อมวอนอยากให้เรื่องจบ
หลังจากที่ปล่อยให้เรื่องคาราคาซังมานาน ล่าสุดพ่อของจาก็ได้พาครอบครัว มาตั้งโต๊ะแถลงข่าวขึ้นที่โรงแรมทาวน์อินทาวน์ โดยมีคุณแม่จา และ “แวว” น้องสาวของจา รวมถึง “โจ” น้องเขยจา มาด้วย แถมเรื่องราวดูจะเป็นหนังคนละม้วนกับที่คนใกล้ชิดของบุ้งกี๋ให้สัมภาษณ์เลยทีเดียว
พ่อจา : “กราบขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนง ผมพ่อทองดี พ่อ จา พนม ยีรัมย์ ที่ผมได้มาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับครอบครัวของผม คือที่ตามหามาหาลูกชายแล้วหาไม่เจอครับ ลูกชายไม่ได้ติดต่อมาสักที แล้วไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจอื่นใดนะครับ คือผมต้องการอยากจะคุยกับลูกชายเท่านั้น เพราะว่าผมคิดถึงลูกผม คิดถึงลูกคิดถึงลูกมาก การคิดถึงลูกมันเป็นสัญชาตญาณอยู่แล้วนะครับ”
“สื่อครับผมขออนุญาตถามสื่อนะครับ สื่อเคยมีลูกไหมครับ แล้วสื่อเคยรักลูกไหม สื่อเคยมีพ่อไหม สื่อเคยรักพ่อแม่ไหม ผมก็เช่นเดียวกัน มันเป็นสัญชาตญาณอยู่แล้วครับ มันเป็นสายเลือดสายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเราครับ ไม่สามารถที่จะตัดขาดออกจากกันได้ครับ ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาให้ข่าวเกี่ยวกับลูกในครั้งนี้ ณ สถานที่แห่งนี้ เพราะว่าผมให้มาสองครั้งแล้ว ก็ยังไม่มีการติดต่อไปเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับ ผมก็รู้สึกอัดอั้นตันใจมากๆ ครับ เพราะอย่างนั้นผมจึงขอวอนสื่อให้สื่อช่วยตามให้จามาหาผมบ้างครับ มาที่สุรินทร์ภายใน 3 วันครับ เพราะฉะนั้นผมก็จะได้สบายใจครับ”
“ผมมีความรักลูกผูกพันกับลูกมานานนะครับ ตั้งแต่จายังปฏิสนธิอยู่ในท้องแม่นะครับ ผมมีลูกอยู่ 4 คน ผมรักลูกทุกคน ลูกผมรักเท่ากันเหมือนน้ำในขัน เพราะฉะนั้นเมื่อลูกของผมไม่ได้ติดต่อพ่อแม่ขาดการติดต่อ อย่างถ้าเป็นลูกคุณคุณจะคิดยังไงครับ แล้วถ้าลูกคุณเขาเป็นอย่างที่จาเป็นอยู่อย่างนี้คุณจะคิดยังไง ผมจึงจำเป็นต้องตามลูกครับ จริงๆ ผมไม่อยากจะตามหรอกเพราะว่าเขาโตแล้ว แต่เพราะว่ามันจำเป็นที่ต้องตามครับ เพราะว่าเขาเดินไม่ถูกทางครับ เดินไม่ถูกทาง ถ้าเดินไม่ถูกทางแบบนี้ถ้าเป็นนักกีฬาเขาจับแพ้นะครับ ผมในฐานะเป็นพ่อก็เลยจับแพ้ไม่ได้มันเป็นสายเลือดผูกพันครับ”
“ผมเลยต้องตามต้องตามให้ถึงที่สุดครับ ตามจนถึงวันที่ได้เขากลับมากอดอยู่ในอ้อมอกพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งครับ เพราะฉะนั้นก็บางคนนะครับ คิดว่าพ่อทำไมไม่ปลงบ้างๆ บางคนบอกว่าพ่อทำไมไม่ปลดปล่อยบ้าง ไม่ปลงจาบ้าง ไอ้เรื่องปลดปล่อยเรื่องปลงมันปลงได้ครับ ทำไมจะปลงไม่ได้ ปลดปล่อยได้ ปลงได้ครับ แต่มันเป็นบางเรื่องนะครับ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยไปหมดทุกเรื่องเมื่อไหร่ เพราะว้าถ้าปล่อยไปหมด หมดก็หมดแค่นั้นแหละครับ มันจะมีอะไร เราก็ต้องเอาไว้บ้างปล่อยครึ่งเอาไว้ครึ่ง เพราะฉะนั้นผมก็ต้องเอาเขามา ต้องเขามาสู่อ้อมอกของพ่อแม่นะครับ เราจะปล่อยไปหมดไม่ได้ เพราะมันเป็นลูกของผมนะครับ”
“ที่ว่าทำไมคุณไม่ปล่อย อันนี้คำนี้คำที่คุณถามมันเป็นลูกผมไม่ใช่ลูกคุณ ถ้าเป็นลูกคุณ คุณพูดได้ แต่ถ้าเป็นลูกผมคุณมาพูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่าผมสงสารลูกผม ผมรักลูกผม จะให้ผมปล่อยได้ยังไง ในเมื่อลูกผมเป็นแบบนี้ ผมก็ต้องติดตามครับ ไม่ใช่ลูกคุณ คุณก็พูดได้ อันนี้มันลูกผม ผมก็ต้องติดตามครับ รักลูกเป็นห่วงลูกผมรักลูกเสมอกันลูกผม 4 คนครับ ผมเลี้ยงดูปูเสื่อมาอย่างดีตั้งแต่เล็กๆ มีบุญคุณต่อพ่อแม่มากลูกๆ ทั้ง 4 คน กตัญญูต่อพ่อแม่มาก เพราะว่าผมได้สั่งสอนเขามาตั้งแต่เล็กๆ จนเขาได้โต จนเขาได้เข้าเรียนระดับลูกสาวคนเล็กก็จบในระดับมหาวิทยาลัยดั่งจิต จาเขาก็จบพละมหาสารคาม แล้วอีก 2 คนเขาก็อยู่กับพ่อแม่ดูแลพ่อแม่ ผมตั้งปณิธานไว้อย่างนี้ครับ เพราะฉะนั้นผมก็ต้องคิดถึงลูกผม มันเป็นสัญชาตญาณแล้วครับที่เราต้องคิดถึงกัน เพราะฉะนั้นผมอยากจะให้สื่อวิงวอนฝากไปบอกจาให้มาหาพ่อแม่ภายใน 3 วันนะครับ เพราะผมไม่ได้เจอจาประมาณเดือนแล้วครับ เดือนติดๆ ครับ”
“เขาไม่ติดต่อมาเลยครับ ติดต่อไปเขาก็ปิดมือถือตัดทิ้ง ผมพยายามติดต่อๆ ปิดเครื่องเลยครับ เบอร์ใหม่ก็ไม่ทราบครับ ที่ทีมงานบอกว่าติดต่อจาไม่ได้เหมือนกันเพราะเขาถ่ายหนังอยู่ อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับ ผมติดต่อไม่ได้ก็ไม่รู้จะให้ผมทำยังไง เพราะฉะนั้นผมอยากจะถามลูกว่าทำไมผมติดต่อลูกไม่ได้ ผมก็โทรหาทีมงาน เขาก็บอกว่าจาเขาก็อยู่ เขาไม่ได้ไปถ่ายเขาพักจะไปถ่ายอีกทีกุมภาพันธ์ เขาไม่ได้ที่จะถ่ายหรอกครับ ทีมงานเขาโทรมาบอกผม ผมไม่ต้องโทรไปเดี๋ยวเขาก็โทรมาบอกเอง”
ยืนยันไปหา “จา” ที่บ้านแล้วโดนลูกสะใภ้ไล่
“ใช่ครับ ก็ตอนนั้นไปทั้งครอบครัวกะว่าจะไปอวยพรให้หลานในวันปีใหม่ครับ พอดีไปด้วยกัน 5-6 คน ลูกหลานด้วยเราลงรถไปจาเขาก็เดินมาไหว้พ่อแม่ ได้ยินเสียงเอะอะอยู่ในบ้าน ผมคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้าน แป๊บเดียวเขากระโดดปุ๊บออกมาจากบ้านเลย ลูกสะใภ้กระโดดออกมาไม่รู้เขาคิดอะไรของเขาไม่รู้เขาต้อนรับกันอะไรอย่างนี้ เขาต้อนรับปู่แบบนี้ ผมยังแปลกเหมือนกัน โวยวายๆ อย่าเข้ามาๆ มึงกลับไปๆ มึงมาทางไหนมึงไปทางนั้น เพราะผมมากันหลายคน ไม่รู้เขาว่าใครนะที่ว่ามึงๆ ก็รวมทั้งปู่ ปู่ก็กันเอาไว้มันจะตบอย่างเดียว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตบใครนะ คนที่ไปก็มีแววแล้วก็พี่สาวเขาด้วย แล้วก็หลานๆ เขาอีก 2-3 คน (คือจะเดินมาตีทางพ่อ?) เออนั่นแหละ แต่พ่อกันเอาไว้ พ่อเขาเองก็ช่วยกั้นเหมือนกัน แต่แม่ยายเขายืนอยู่นู่น ยืนยิ้มอยู่อยู่ข้างๆ แล้วจาก็ยืนอยู่ไม่ห้ามปราบลูกเมียเลยสักคำ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมลูกเราเป็นแบบนั้น”
ยอมรับไม่ถูกกับครอบครัวฝั่งลูกสะใภ้ตั้งแต่ก่อน “จา” แต่งงาน
“แรกๆ มันก็มีครับ แต่ไม่มีเรื่องเงินครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินเรื่องอะไร ที่ผมมาให้สัมภาษณ์อันนี้ไม่มีเรื่องเงินเข้ามา ผมพูดได้ครอบครัวนี้คือครอบครัว ปัญหาหาหลักๆ ที่ทำให้มีปัญหาเพราะบุ้งกี้แหละครับ บุ้งกี้เขาโกรธน้องสาวคนสุดท้องของจาไม่รู้ว่าโกรธอะไรนะ แววก็ไม่รู้ ผมก็ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วเราจะไปทำไมวันนั้นเพราะว่าพ่อนี่แหละเป็นคนชวนไปหาลูก ไปอวยพรให้หลานด้วย เพราะว่าเขาต้องมาทำงานที่บริษัทเขาอยู่แล้ว เลยคิดว่าไหนๆ ลูกก็มาแล้วไปหาลูกด้วย แล้วก็ไปอวยพรให้หลาน พอลงรถไปก็อย่างที่เล่าให้ฟังครับ ทั้งไล่ทั้งจะตีน่ะสิครับ (หัวเราะ)”
“วันนั้นโจ (น้องเขยจา) ไม่ได้ไปด้วยครับ (เคยมีกรณีกับโจด้วย?) ไม่ๆๆ อันนี้ผมไม่รู้นะครับ ที่บุ้งกี๋ทะเลาะกับโจที่งานแต่งจาอันนั้นมันเป็นการไม่เข้าใจกัน มันเคลียร์กันได้แล้ว เขาเคลียร์กันได้แล้ว เขาตกลงกันได้แล้ว มันเป็นเรื่องของเขาแล้ว อันนี้ผมไม่รู้หรอก เพราะว่าเขาเคลียร์กันได้แล้ว เรื่องนั้นเป็นจุดเริ่มต้นหรือเปล่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ส่วนที่ “บุ้งกี๋” ออกมาบอกว่าที่อาละวาดวันนั้นเพราะไม่ถูกกับ “แวว” น้องสาวจา แล้วพ่อกลับเอาแววมาด้วยก็เลยไม่พอใจ กับประเด็นนี้พ่อจาปัดไม่รู้ลูกสะใภ้โกรธแววเรื่องอะไร
“ไม่รู้สิ พ่อยังไม่รู้เลยว่าทำไมเขาไม่ถูกกับแวว ถ้าพ่อรู้พ่อจะให้เขามาด้วยทำไม ไอ้แววมันก็ยังไม่รู้ ก่อนหน้านี้ก็เคยไปนอนบ้างบุ้งกี๋ ทำไมจะไม่เคยไป ไปก็ต้อนรับปกติ ไปมาหาสู่ค้างกันปกติ ความสัมพันธ์ตอนนั้นก็ดีครับ ก็ไม่เป็นไร (แปลว่าต้องมีสิ่งผิดปกติ?) ก็มีสิ แต่ครั้งก่อนๆ แววไม่ได้ไปด้วยครับ ครั้งก่อนที่ผมไปเขาต้อนรับดูแลธรรมดาชาวบ้านชาวเมืองเรานี่แหละ เขาก็ดูแลธรรมดานี่แหละ แต่ครั้งนี้แววไปด้วยก็เกิดเรื่องเลย ไม่รู้เขาทะเลาะโกรธแววเรื่องอะไร ผมไม่รู้”
“ผมอยากจะถามว่า จาพ่ออยากจะรู้ว่าทำไมทำไมภรรยาลูกเขาถึงทำกับพ่ออย่างนี้ ทำไมเขาไม่ให้เกียรติพ่อแม่บ้าง ถึงจะโกรธให้ใครก็ช่างมัน ต้องให้เกียรติพ่อแม่บ้างผมโมโหตรงนี้แหละครับ มันก็เสียใจแหละ ผมเสียใจไม่เอา ความโลภโกรธหลงผมปลงหมดแล้ว แต่ไม่โกรธ (ตอนนี้ยังโกรธอยู่หรือเปล่าเพราะวันนั้นลั่นปากว่าไม่รับเป็นลูกสะใภ้แล้ว?) ก็เป็นธรรมดา มันก็โกรธอยู่ครับ แต่ว่าถ้าเขาเข้ากันได้มันก็จะเป็นอะไร ก็ครอบครัวของเขา เราไม่ได้ให้ลูกทิ้งกัน เราแค่ขอให้จามาพูดคุยกับพ่อแล้วก็ไปคุยกับภรรยานะ ให้เขารู้ว่าอะไรต่ำอะไรสูง รู้กาลเทศะบ้าง คนเรามันต้องรู้กาละเทศไม่ใช่ว่าจะอยู่ดีๆ จะมาโวยวาย ตีโพยตีพายอะไรไปอย่างนี้ไม่เอาๆ”
หลังจากที่มีเรื่องกันก็ไม่ได้ไปหาจาที่บ้านอีกเลย กร้าวจะไปไปอีกแล้วเพราะกลัว
“อุ้ย ไม่ไปแล้วผมกลัวครับ ต้อนรับแบบนี้ผมไม่สู้แล้ว (หัวเราะ) ต้อนรับอะไรแบบนี้ เขาถือลัทธิอะไรไม่รู้ถึงต้อนรับแบบนี้ แบบนี้ไม่ใช่คนไทยนะเนี่ย แต่ก่อนเขาก็ดีๆ กันอยู่นะ เขาก็ไปมาหาสู่กัน เขาก็เยี่ยมกัน เขาก็ไปหากันอยู่ อยู่ๆ เขาก็มาโกรธเอาๆ เขาก็มาโกรธแวว ผมไม่รู้นะครับ อันนี้ผมไม่รู้หรอกครับว่าคนนอกคนในผมไม่รู้หรอก เพราะว่าผมไม่ได้สนใจ แววก็ไม่รู้ ผมถามแล้วแต่เขาก็ไม่รู้ แววเขาเป็นคนไม่พูดด้วย คือเขาเป็นคนนิ่งๆ เขาไม่พูด เขาไม่เคยไปทะเลาะกับใครด้วยคนๆ นี้ ลูกผมทุกคนไม่เคยทะเลาะให้ใคร”
ด้าน “แวว” ได้ชี้แจงถึงความสัมพันธ์กับพี่สะใภ้บ้างว่า…
“จริงๆ แล้วครั้งแรกที่เรารู้จักเขา เคยเห็นตอนนั้นเราดูแลพี่จาอยู่ตอนองค์บาก 3 เป็นคนดูแลพี่จาอยู่ แล้วสหมงคลฟิล์มก็รับรู้และรับทราบ แต่ว่าตอนช่วงที่น้องบุ้งกี้คนนี้เขามา รู้สึกจะเป็นช่วงที่ถ่ายหนังองค์บาก 3 กำลังจะเสร็จ รู้สึกว่าตอนนั้นเราก็จะยุ่งๆ กันน่ะค่ะ ดูแลเรื่องงานหนังก็ดูแลพี่จาด้วย อยู่ๆ เห็นว่ามีแฟนคลับชอบพี่จา แล้วก็เห็นมาส่งข้าวส่งน้ำกันนะคะ ก็เห็นมาที่กองถ่ายด้วย ก็เห็นคุณแม่กับน้องมา ก็คิดว่าเป็นแฟนคลับธรรมดาคงไม่มีอะไร แล้วจู่ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ยังถ่ายหนังไม่เสร็จนะคะ ก็เห็นพี่จามาบอกว่าเป็นแฟน เราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ก็แปลกใจเหมือนกัน ว่าทำไมพี่ชายมีแฟนแบบกะทันหัน”
“ก็ยอมรับ แต่ว่าเราก็ไม่ได้มีปัญหาเคยอยู่กันอยู่ 2-3 ครั้ง จนถึงแต่งงานจนถึงทุกวันนี้น่าจะประมาณ 3 ครั้งได้ ไม่เคยคุยกันไม่เคยปะทะฝีปาก เห็นข้อมูลข่าวที่เขาให้มาแล้วบอกว่าเราเคยพูดใส่เขา หรืออะไรไม่เคยมีเลยค่ะ ไม่เคยได้โต้หรือว่าปะทะฝีปากอะไรกันเลยไม่มีเลยค่ะ ก็คือยกมือไหว้กันปกติ แต่ไม่มีกรณีว่าไม่ชอบ”
“ชนวนที่ทำให้มีปัญหากันตอนเหตุการณ์วันที่แต่งงานก็อาจจะมีส่วน ตอนนั้นแววท้องแล้ว รู้สึกว่าท้องแววแก่แล้ว ก็เลยไม่ได้ไปร่วมด้วย แต่ว่าญาติพี่น้องไปหมด ไม่มีการ์ดเชิญ คือพี่ชายเรา เราก็อยากจะยินดีกับเขา แต่ว่าเราท้องแก่อยู่ เราเลยไม่ได้ไป แฟนเราก็เลยไปก็คือโจ ไปก็เลยเกิดกรณีเรื่องราวของวันนั้นนะคะ โจก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขาเลย พอเกิดเรื่องวันนั้นแฟนโทรมาหาเลย เราก็ตกใจว่ามีเรื่องราวแบบนี้ด้วยเหรอทำไมอยู่ๆ โดนตีหัว ไม่น่าจะเกิดเรื่องราวแบบนี้เพราะว่ามันเป็นงานมงคล แล้วอีกอย่างเราก็น้องแท้ๆ ยังไงเขาจะชอบเราหรือไม่ชอบเราเขาก็ไม่ควรทำกิริยาแบบนั้นค่ะ ซึ่งคือผู้ใหญ่ญาติพี่น้องเราก็เต็มอยู่ในนั้น เราก็เสียใจเสียความรู้สึกมากเหมือนกัน แล้วก็ไม่คิด แล้วก็อยากคุยกับพี่มากว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่เราก็ไม่สามารถจะคุยกับพี่เราได้เลย แล้วเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“อย่างกรณีที่ไปหาล่าสุดที่ว่าโดนไล่มา กรณีที่ไปเยี่ยมหลานปีใหม่กัน คุณพ่อชวนเราไปด้วยเราก็ไป ก็นั้นแหละเจอเต็มๆ เลยซึ่งเขาก็ตะโกนออกมาเลยว่าอย่าโทรหาพี่จาอีก ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราเป็นน้องเราถึงโทรหาพี่จาไม่ได้ พี่จาอยู่ด้วยแต่ไม่ได้ห้ามเลยค่ะ ซึ่งคุณพ่อก็เสียใจมาก แล้วคุณพ่อเขาอยากจะถามลูกชายเขามากเลยว่าทำไมพี่จาถึงนิ่งเฉยได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไร จนถึง ณ ตอนนี้พี่จาก็ยังไม่ติดต่อกลับ คุณพ่อคุณแม่เขาถึงร้อนใจมากไงคะ”
“พูดตามจริงเลยว่าเขาตรงเขามาหาแววนี่แหละค่ะ ก็คือ ยืนอยู่ข้างๆ กัน คุณพ่อกันไว้ เรามองเขาด้วยความที่เรางงว่าเอ๊ะทำไมต้องเกิดกรณีแบบนี้ งงเหมือนเพราะเราไปนึกถึงตอนที่แฟนเราโดนแบบนี้ เราต้องเป็นแบบนี้แน่เลย เพราะว่าเราเอ๊ะทำไม เพราะอย่างน้อยก็ต้องนึกถึงคนแก่ พ่อแม่โอเคไม่พอใจเราไม่เป็นไร เราเคยอยากจะเคลียร์มากทำไมถึงไม่พอใจเรา เราเคยไปทำอะไรให้คุณหรือเปล่า ยืนยันว่า โจไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขาเลยค่ะ ไม่ทราบสาเหตุเลยค่ะ”
เมื่อถามถึงกรณีที่ “โจ” เคยออกมาแฉว่าโดน “บุ้งกี๋” ทุบหัวเพราะโกรธที่ไปขุดคุ้ยประวัติว่าอีกฝ่ายเป็นหนี้ 140 ล้าน “แวว” ก็ยอมรับว่ามีปัญหากันแค่ครั้งนั้น แต่ก่อนหน้านี้ไม่มี
“เรื่องตีหัวอันนั้นน่ะมี แต่ว่าก่อนหน้านั้นไม่มีจริงๆ ค่ะ คือเราไม่ทราบสาเหตุเหมือนกัน ว่าเขาไม่พอใจอะไรเราหรือเปล่า มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แล้วก่อนหน้านั้นที่จะไปแฟนก็ไม่ได้ตั้งหลักเลย ก็คือไป ไปแล้วก็งงๆ ไม่ได้ตั้งหลัก ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นค่ะ เพราะจริงๆ มันเป็นงานมงคลไงคะ แล้วเราก็เป็นพี่น้องเราไปญาติพี่น้องเราก็เต็ม ไม่ได้ตั้งหลักเพราะว่าไม่คิดว่ามันจะเกิด คืองงมากค่ะ เพราะว่าเราไม่เคยปะทะฝีปากกันเลยนะคะ แล้วก็อยากถามเขาเหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องทำแบบนั้นค่ะ”
“บอกตรงๆ ก็ยังไม่จบหรอกค่ะ พอดีว่าคุณพ่อ คือ เข้าใจว่าคุณพ่อไหมคะ คุณพ่อคุณแม่อยากให้พี่น้องดีกันค่ะ ซึ่งเราสองคน เราก็คิดเหมือนคุณพ่อยังไงก็เป็นพี่น้องกัน เราก็คิดดีเสมอมา เราก็อยากจะคุยอยากจะเคลียร์กับเขาเสมอมาไม่ว่าจะเป็นพี่จาหรือว่าคุณบุ้งกี๋ เพียงแต่ว่าเราไม่มีโอกาสที่จะคุย เราเคยขอว่าเราไปหาที่บ้านได้ไหม เพราะว่าเราอยากเจออยากคุยอยากเคลียร์กัน เพราะว่าพี่น้องพ่อแม่สำคัญที่สุด เพราะว่าพ่อเขาก็ไม่สบายค่ะเป็นความดันเป็นหัวใจ ซึ่งเขาก็คงเครียดหลายๆ อย่างค่ะ เพราะว่ามันก็คงเป็นปัญหาของครอบครัวจริงๆ ค่ะ”
ทางด้านของ “โจ” สามีของ “แวว” ได้เปิดปากย้อนชนวนเหตุให้ฟังว่า…
“ในโอกาสนี้จริงๆ ก่อนที่จะเล่าผมอยากจะพูดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งผมและภรรยาและก็เชื่อว่าทุกคนในครอบครัวรู้สึกสะเทือนใจ ไม่อยากให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่อยากให้มองกลับไปว่าที่ทำอยู่มันคืออะไร เพราะว่าผมสงสารคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ของภรรยา คือเรื่องทั้งหมดมันผ่านมา 3 ปีแล้ว ตั้งแต่บริษัทเราช่วยคุณจาทำภาพยนตร์องค์บาก3 ก็ผมขอพูดเลย ขออนุญาตเล่า เพราะว่าถ้าไม่เล่าคงไม่รู้ว่าทำไมผมถึงโดนทำร้ายร่างกาย”
“ก็สมัยก่อนเราก็เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกันทำภาพยนตร์ ทุกอย่างก็ราบรื่นดี หลังจากที่เห็นข่าวว่าองค์บาก 2 มีปัญหาตอนนั้นผมก็ไม่ได้อยู่โปรเจกต์ แต่พอหลังจากนั้นเคลียร์เรียบร้อย ผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสผมมาช่วยงาน แล้วก็มีผู้หญิงแฟนคลับเข้ามา จริงๆ ก็มีแต่ไม่ใช่คนเดียว มีคนมาเที่ยวมาเยี่ยม แต่ว่ามีครอบครัวหนึ่งที่เขามาแล้ว ก็เขามาใกล้ชิดเป็นกรณีพิเศษ ที่พูดแบบนี้เพราะว่าผมเป็นคนดูแลจาโดยตรง พี่เลี้ยงพี่จาที่อยู่กับพี่จาตลอดคือพี่สาวผมเอง คือผมก็จะรู้หลายๆ อย่างว่าเขาจะมายังไง จะเขามาอะไรยังไง ซึ่งเราก็เห็น เพราะว่าหลายๆ อย่างตั้งแต่แรกที่เข้ามา มันก็มากกว่าแฟนคลับทั่วๆ ไป แต่เราก็ไม่ได้เอะใจ เพราะว่าที่ผ่านมาตลอด 3 ปี เราไม่เคยเข้าไปพูดว่ากล่าวหรือว่ากีดกันหรืออะไรเลย อย่างที่แววพูดเป็นความจริงว่าเจอกันไม่เกิน 3 ครั้ง แล้วแต่ละครั้งที่เจอกันมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย”
“แล้วที่จะเล่าเรื่องมันมาตั้งแต่องค์บาก 3 คุณจาก็พักผ่อนไม่ได้ทำงานเลย ตั้งแต่องค์บาก 3 คุณจาหายไปไหนก็หายไปพักผ่อน อยู่กับครอบครัวนี้แหละครับ ตอนนั้นก็ยังอยู่ในบริษัทไอยรานะ เป็นผู้จัดและเป็นผู้ก่อตั้ง จริงๆ วันนี้ผมไม่อยากพูดเรื่องธุรกิจ แต่ผมต้องเล่า วันนี้เราไม่ได้มาเรียกร้องเรื่องธุรกิจหรืออะไร แต่ผมเรียกร้องเพราะว่ามาพูดแทนคุณพ่อนึกถึงเพราะว่านี่คือคุณพ่อนะ อยากจะคุยกับลูก ผมจะพูดกลับมาเรื่องเดิมก็คือพอหลังจากที่รู้จักกันกับคุณจา บริษัทก็อยู่เหมือนเดิม ทีนี้ก็คล้ายๆ ว่าไม่ให้คุณจามาทำงาน คุณจาก็ตามใจไม่ยอมมาทำงาน อันนี้ความเห็นส่วนตัวไม่มีใครว่า พี่น้องก็ไม่มีใครว่าไม่ให้ติดต่อกัน ไม่ทราบว่าเขาไม่ให้หรือให้ติดต่อ แต่ว่าผมไม่มีโอกาสได้ติดต่อจาเลย ไม่มีโอกาสได้เจอ”
“แต่ด้วยความที่ว่าเราเป็นน้อง เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร บริษัทก็ทำงานอยู่เรื่อยๆ ก็มีโอกาสได้ไปหาตอนที่เป็นพระอยู่ครั้งคราว ก็อาจจะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นระหว่างช่วงนั้น เพราะว่ามันมีข่าวที่ว่าผมเอาพระไปหากินหรือเปล่า คือสมัยก่อนผมทำนิตยสารด้วย ผมก็ถ่ายรูปเหมือนกัน เหมือนข่าวทั่วไป ก็เออชื่นใจนะ จา พนม เป็นพระไม่ได้คิดจะมาหากินทางอื่นอยู่แล้ว เพราะว่าคิดดูถ่ายรูปพระมันจะไปหากินอะไรได้ ถ้าไปตามข่าวดูจะเห็น ผมเลยงงว่าทำไมครอบครัวนั้นเขาถึงคิดแบบนี้ หลังจากนั้นมาเหตุการณ์ผ่านมาแวดล้อมมาเขากลับมองว่าเรามาเป็นปรปักษ์กับครอบครัวเขา ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ เราเป็นคนดูแล จา พนม”
“แต่ก่อนที่เขาจะมาเนี่ย เรามีสิทธิ์ที่จะเช็คประวัติหรือเช็คข็อมูลต่างๆ ของเขา เพราะว่าเราไม่ได้รู้จักเขามาก่อน วันนั้นจาพนม คือ ตัวเรา เมียเรา เราดูแลกันอยู่ เขาจะเป็นยังไงกันมาก็แล้วแต่ เราก็ควรที่จะรู้ถูกไหมครับ พอเราเช็ดเสร็จ พอมีเรื่องอะไรผมก็ไม่ได้เพิกเฉย ผมไม่ได้ทำอะไรเอง ผมก็ได้ไปบอกผู้ใหญ่ทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นต้นสังกัดจา แล้วก็ทั้งพ่อแม่ว่าเออ เรื่องราวมันเป็นแบบนี้นะ น้องคนนี้เป็นแบบนี้ แต่หลังจากนั้นไม่ทันอะไรมันก็มีเรื่องที่ช็อคกับครอบครัวเรา ตอนนั้นหดหู่กันทุกคน ไม่รู้คุณพ่อได้พูดไปหรือยัง ขอโทษนะครับขออนุญาต คือหลังจากนั้น 2 เดือนคุณจาไปจดทะเบียนสมรสโดยที่ไม่บอกใคร ให้พ่อพูดความรู้สึกเอง”
พ่อจา : “คือ หลังจากหมั้นเสร็จ ภายใน 2 วันเขาก็ไปจดทะเบียนสมรสเรียบร้อย เขาไม่ได้ไปจดที่บ้านนะ เขาหมั้นก่อน รู้สึกนะ ผมก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้ พอเขาไปจดตรงนั้นแล้ว ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็อยู่ๆ กันไป พอมาช่วงหลังก็มาทำพิธีแต่งจัดงานมงคลสมรส”
โจ : “ถามว่า ผมโดนตีหัวได้ยังไง ก็คือ การที่เราไปเช็คประวัติครอบครัวเขาก่อนที่จะเขาจะเข้ามาเป็นแฟนกัน เขาก็คงอาจจะไม่พอใจ ตรงนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นประเด็น แต่เชื่อได้เลยว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนากีดกัน เพราะว่าถ้ากีดกันตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมามันไม่ใช่แบบนี้ เราไม่เคยไปทะเลาะไม่เคยไปหา ไม่เคยไปพูดจาอะไรเลยกับคุณจา อย่างทุกวันนี้คนชอบมาเป็นประเด็นว่าโจกับแววไม่ถูกกับจา จริงๆ คือ ไม่มี เจอกันครั้งล่าสุดคืองานแต่งงานที่ผมเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก็ยังเข้าไปกอดพี่ดีใจ กอดพี่ได้ทีหนึ่ง แล้วก็กอดพี่ก่อนหนึ่งครั้ง แล้วก็ให้แขก”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราเปลี่ยนที่ถ่ายรูป แล้วผมก็ยืนขออนุญาตคุณพ่อคุณจาเอง แล้วก็คุณพ่อคุณบุ้งกี๋ก็เดินเข้ามาถ่ายรูป ต่อหน้าการ์ดทุกคนเห็นเหตุการณ์หมด ผมยืนเฉยๆ แล้วก็โดนเขาทุบหัวนิดหนึ่ง แล้วตอนนั้นผมออกจากงานเลย ไม่ได้โต้ตอบอะไร ซึ่งการที่เราไปในงานเราคิดว่าเราเป็นน้อง หนึ่งเราเป็นเพื่อนร่วมงาน หนึ่งเราควรที่จะไปให้เกียรติเขา แล้วอีกอย่างหนึ่งมันเป็นงานของพ่อตา เราเป็นงานที่เขาจัดขึ้น แล้วคำว่าเชิญหรือไม่เชิญ ผมต้องให้คุณพ่อเป็นคนพูดเพราะว่าพ่อบอกทุกคนในบ้านใครจะมาให้มาทุกคนอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้คนอื่น แล้วใครจะผิดหรือถูกให้สื่อมองเองแล้วกันว่าการที่ผมไปด้วยกิริยาสุภาพ แล้วโดนเขาทำร้ายมา ทั้งที่ตัวเราเจ็บตัวหัวแตก แล้วมันเป็นเรื่องที่เราทำผิดไหม”
“จนถึงมาวันนี้ที่คุณพ่อมาทำข่าวเนี่ย มันมีเบื้องหลังหรือเปล่า มีคนต้องการอะไรหรือเปล่า มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ผมบอกได้เลยว่าไม่มี เพราะว่าจาพนมอยู่ในสังกัดเสี่ยเจียง สหมงคลฟิล์ม จะยังไงก็แล้ว แต่มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เราไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรกับจาพนมได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่มาครั้งนี้เพราะว่าผมมาย้ำตรงนี้เพราะผมรู้ดีเพราะว่าแววเป็นคนดูแลจา ช่วยมาตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่จะทำองค์บาก ไม่มีใครที่จะสามารถทำตรงนี้ได้นอกลู่นอกทางอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างก็คือผมจะถามกลับนิดหนึ่ง โอเคตอนนี้เป็นคู่กรณีกัน แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เคยมีปากเสียงด้วย ไม่เคยทะเลาะ แล้วก็ไม่เคยไปทำอะไรที่รุนแรงกับครอบครัวนี้ ก็ยังให้เกียรติพี่จาเสมอ”
“ทุกวันนี้พ่อให้เราอดทน 3 ปีนี้เราอดทนตั้งแต่จาได้แฟนไม่ติดต่อเรา เราก็อดทน ทั้งๆ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องเคลียร์กัน ถามว่า มีไหมในส่วนของพ่อไม่มีเรื่องเงินแน่นอน แต่ส่วนผมเรื่องของบริษัทมันก็ต้องมีเรื่องที่เคลียร์กันเป็นเรื่องปกติครับ เพราะว่ามันคือการทำงาน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เคลียร์ ตั้งแต่จบเรื่ององค์บาก 3 ตรงนี้ไม่มีโอกาสได้เคลียร์เลย เราก็อดทนแต่กลายเป็นว่าตอนนี้พ่อร้อนใจ แต่ว่าคุณพ่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราก็ช่วยกันดูแล คุณจาก็ยังดูแลพ่อแม่เหมือนเดิม แต่เริ่มที่จะห่างขึ้น เท่าที่เราฟังจากคุณพ่อคุณแม่ เริ่มมาหนักสุดจนที่คุณพ่อรับไม่ได้ตั้งแต่แต่งงาน มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณพ่อ”
พ่อจา : “ก็ตั้งแต่แต่งงานเสร็จ (แววแทรก : เรื่องบายสีนะพ่อ) จาเขาก็มีวันนั้นวันที่จัดงานที่กองทัพเรือเสร็จก็… (แววแทรกอีก : บายสี) พ่อก็บอกจาเออ เราต้องไปจัดที่สุรินทร์เราด้วยนะเพื่อเป็นสิริมงคล ไปบายสีสู่ขวัญที่สุรินทร์ ก็โอเคไปก็เลยไปภายใน 3 วัน ก็ไปจัดที่สุรินทร์ ผมก็เชิญแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ว่า นายอำเภอ ผมเชิญมาร้อยกว่าคนครับ งานแต่งงานก็เสร็จแล้วก็เชิญแขกรับประทานอาหาร ไม่รู้ว่าบุ้งกี๋กับแม่ของเขานะโวยวายขึ้น ไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไร คือผมให้สัมภาษณ์นักข่าวก็ไปสัมภาษณ์ผมเหมือนกัน ว่าเอ๊ะเรื่องไอ้ที่จะตีหัวโจมันเสร็จแล้วหรือยัง นักข่าวถามผมแบบนี้ ผมก็เลยบอกว่ามันเสร็จไปแล้ว ผมบอกพี่น้องเขาเคลียร์กันไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรหรอก เพราะว่าทุกวันนี้เขาก็ทำมาหากินอยู่ด้วยกัน ไปไหนเขาก็หากันอยู่ ผมก็บอกเขาตามความเป็นจริง ผมก็ไม่รู้เขาโวยวายอะไรโมโหขึ้นไปอาละวาดบนบ้านผมเลยครับ บ้านผมนะ ผมเกิดมาตั้งแต่เล็กจนโตเวลานี้ตั้งแต่บรรพบุรุษมา ไม่เคยมีใครมาโวยวายบ้านผมก้าวร้าวถึงขนาดนี้ครับ มาด่าถึงบรรพบุรุษผม ด่าถึงตระกูลผมหมด”
“โจ” บอกอยากเคลียร์กับ “จา” ทำไมถึงไม่ยอมติดต่อที่บ้านเลย
“นี่แหละครับเป็นปัญหาถึงทุกวันนี้ พวกเราทุกคนอยากจะคุยกับคุณจามาก ตัวผมกับแววเต็มใจอยากจะคุยด้วยทุกประเด็นเลย แต่จริงๆ บางเรื่องผมไม่อยากจะมาพูดกับสื่อมันเหมือนการแก้ตัว แต่ไม่มีโอกาสได้คุยเลย เพราะว่าหนึ่งมีปัญหาอะไรโกรธอะไร อันนี้ที่เราพูดให้นักข่าวฟังเราได้แต่คิดนะครับว่าเราอาจจะไปเช็คประวัติเขา แล้วเขาเลยมาโกรธเราหรือเปล่า หรืออะไรหรือเปล่า หรือบางทีเราไปพูดว่าเด็กคนนี้เป็นแฟนคลับมายังไง แล้วทำไมมาเรียนปีหนึ่ง แล้วไม่เรียน ออกจากมหาวิทยาลัยทำไม แล้วมาท้อง แล้วเลยมาแต่งงานหรือเปล่า เพราะว่าบางทีผมพูดตามความจริงนะครับ ผมพูดในฐานะที่เป็นครอบครัวพี่น้อง ผมพูดกับครอบครัวกับพ่อแม่ แล้วทำไมต้องมากุเรื่องกุราวทำไมต้องมาโกหก”
“อย่างแววกับโจก็ทำงานในบริษัทก็ไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายกับใคร 3 ปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยไปเจ้ากี้เจ้าการไม่เคยไปเจอ แม้กระทั่งโทรศัพท์ไปพวกผมยังไม่โทร เพราะว่าหนึ่งเพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ขอไว้ แม้กระทั่งเรื่องที่เป็นคดีที่คุณพ่อบอกว่าเคลียร์จบแล้วนั้นก็ผู้ใหญ่ขอไว้ว่าโอเคจบ ผมก็เป็นผู้เจ็บ ผมยอมไปแจ้งความไว้ ผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะผมถือว่าโอเคพ่อแม่จะเคลียร์ให้นี่แหละครับ คือ ปัญหาตั้งแต่แต่งงานนั้นแหละที่หนักที่สุด พ่อยังอยากจะเจอลูก ผมถามว่าเอาแค่นี้ ทำไมจามาเคลียร์กับพ่อไม่ได้ เรื่องของผมไม่ต้องสนใจหรอกครับ จะเรื่องธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว ทุกวันนี้เราทำงานเราก็อยู่กับครอบครัวมีครอบครัว มีลูกมีภรรยาที่ต้องดูแล”
“คุณพ่อคุณแม่หนักใจเพราะว่าใช่เขาอยากให้ความสัมพันธ์ของครอบครัว คือความเป็นพี่น้องคุยกันได้ อย่างน้อยคือคุยกันได้นะครับ ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย เรื่องการงานมันอยู่ที่ตัวเขาเอง มันอยู่ที่ผู้ใหญ่อยู่แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย แต่อยากจะถามว่า ณ วันนี้ทำไมเขาทำแบบนี้ เขาคิดอะไรทำไมแค่โทรศัพท์หาคุณพ่อถึงทำไม่ได้ ไม่มีใครเรียกร้องอะไรกับจาไม่มีใครอยากมีปัญหาอะไรกับใคร แต่ทำไมพ่อป่วยขนาดนี้แล้วอายุก็มากแล้ว ทำไมต้องให้คุณพ่อร้อนวิ่งมาถึงกรุงเทพมาร้องให้พวกผมว่าจะทำยังไงดี ไม่รู้จะทำยังไง จะต้องให้ผมบุกไปใช่ไหม หรือว่าจะต้องให้ไปทะเลาะกันใช่ไหม หรือให้ผมเข้าไปเพื่อที่จะให้เขาตีหัวผมอีก ผมทำแบบนั้นไม่ได้ครับ หรือจะให้ผมทำยังไง ผมไม่รู้จะทำยังไง”
“วันนั้นมีข่าวออกมาที่ไป สน.บางกอกใหญ่ จริงๆ แล้วผมไปหาตำรวจเพราะว่าวันนั้นมันมีคดีอยู่ แต่ผมไม่เอาเรื่องตำรวจท่านก็บอกว่ามาบอกพี่ก็ได้มีอะไรเดี๋ยวพี่จะช่วย วันนั้นผมเลยพาพ่อไปไปเล่าบอกว่าช่วยตามพี่จามาพบพ่อหน่อย ไม่ได้ไปแจ้งความหรืออะไรนะครับ ตามที่เป็นข่าวอยู่แล้ว ผมก็โทรไปก็ไม่ยอมมาเจอเรื่องเท่านี้เอง ส่วนเรื่องอื่นนั้นผมต้องถามเขาว่าใจเขาต้องการอะไรที่จะมาพูดต่า